แจ้งข่าวนักศึกษา012173

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

แดนพุทธภูมิ บทที่ 2 นครเทวทหะ มาตุภูมิ

บทที่ 2

เทวทหะ มาตุภูมิ (Devadaha)

           โดย 
พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์

                                                                                                                                    Phisit Kotsupho

อดีตรำลึก :

            นครเทวทหะและนครกบิลพัสดุ์  มีความเกี่ยวข้องสืบสายสัมพันธ์กันทางเครือญาติตลอดมามิได้ขาดสาย  เป็นเมืองพี่เมืองน้องดุจครอบครัวเดียวกัน ตามประวัติกล่าวว่า  นับแต่ยุคกษัตริย์โอรส - ธิดาของพระเจ้าโอกกากราชได้สร้างนครกบิลพัสดุ์เสร็จแล้ว  พระธิดาองค์ใหญ่ทรงประชวรด้วยโรคผิวหนังเป็นที่รังเกียจของกลุ่มชน  จึงเสด็จออกมารักษาตัวที่ป่าใหญ่ข้างภูเขาหิมาลัย  และ    ป่านั้นเช่นกัน  เจ้าครองนครหนึ่ง นามว่า  “ราม”  หรือ  “พระยาราม”  ซึ่งพระองค์เองก็ประชวรโรคผิวหนังเช่นกันจึงสละราชสมบัติให้พระโอรสทรงปกครองต่อ  พระองค์เสด็จออกป่าเพื่อรักษาอาการประชวร  และตรงป่าที่พระองค์ประทับนั้นเป็นป่ากระเบา หรือ โกละบางแห่งว่า เป็นผลพุทรา  ด้วยการเสวยผลกระเบาทุกวันทำให้ทรงหายประชวรจากโรคผิวหนัง  และพระยารามก็คงเสด็จอาศัยอยู่ในป่านั้นต่อไป

            อยู่มาคืนหนึ่ง  พระองค์ทรงได้ยินเสียงสตรีหวีดร้องเพราะความกลัว  พระองค์กำหนดทิศทางต้นเสียงได้แล้ว  รุ่งขึ้นเช้าจึงเสด็จตามไปดู ได้พบพระธิดาองค์โตของพระเจ้าโอกกากราช  ซึ่งหวีดร้องเพราะกลัวเสือที่ได้กลิ่นมนุษย์มาตระกุยปากถ้ำของพระนาง  พระยารามสอบถามความเป็นมาได้ความว่า  พระนางเองก็ประชวรด้วยโรคผิวหนังเช่นกัน  พระยารามจึงนำพระธิดานั้นมารักษาด้วยผลกระเบาจนหายประชวร  เพราะความใกล้ชิดและการเอื้ออาทรกัน กษัตริย์ทั้ง  2 พระองค์ จึงตกลงใจร่วมชีวิตคู่แบบคนธรรพ์วิวาห์จนมีโอรส ธิดาหลายพระองค์  ความทราบไปถึงพระโอรสผู้ครองรามนคร  พระราชโอรสจึงส่งทูตมาทูลเชิญพระยารามบิดาให้เสด็จกลับไปครองเมืองดังเก่า  แต่พระยารามปฏิเสธ  พระโอรสจึงสั่งให้ราชบริพารโค่นต้นโกละลงเสียแล้วให้สร้างนคร ณ ตรงที่ต้นโกละนั้น  เพราะสร้างเมือที่ต้นโกละ  นครแห่งใหม่ อาศัยมงคลนามต้นโกละ ตั้งเป็นต้นราชวงศ์โกลิยะวงศ์”  ไม่ปรากฏว่า เมืองนั้นชื่อเมืองอะไร สันนิษฐานว่า น่าเป็นเมืองเทวทหะ”  แยกจากเมือง รามคามส่วนยุวกษัตริย์และยุวธิดาผู้สร้าง       กบิลพัสดุ์ ก็เป็นต้นราชวงศ์ศากยะวงศ์ดังที่กล่าวมา   บุตรหลานของราชวงศ์ทั้งสอง ต่างก็อภิเษกสมรสกันและกันเกี่ยวดองเป็นญาติผูกพันหลายชั้นต่อๆ มา  สืบจนชั้นหลัง พระเจ้าสุทโธทนะ ศากยะวงศ์ ก็อภิเษกกับพระนางสิริมหามายา โกลิยะวงศ์ และ พระสิทธัตถะแห่งศากยะวงศ์  ก็ได้อภิเษกกับพระนางยโสธรา  ราชธิดาแห่งโกลิยะวงศ์ เป็นอันดับสุดท้าย นี่คือสายต้นตระกูลของพระสิทธัตถะ

            นครรามคาม ที่โอรสของพระยารามครอง ได้มีสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเป็น  1  ใน  8  แห่ง  ซึ่งได้รับแจกจากนครกุสินาราอยู่ด้วย ดังความจาก พระไตรปิฎกเล่มที่ 10 ทีฆนิกายมหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร ข้อ 236 หน้า 177 ว่า

“พวกเจ้าโกลิยะผู้ครองกรุงรามคาม ได้ทรงสดับว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานในกรุง       กุสิรานา จึงส่งทูตไปถึงพวกเจ้ามัลละ ผู้ครองกุสินาราว่า พระผู้มีพระภาคทรงเป็นกษัตริย์ แม้พวกเราก็เป็นกษัตริย์  จึงควรได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริธาตุบ้าง จะได้สร้างสถูปบรรจุพระบรมสารีริธาตุและทำการฉลอง” [1]  

กษัตริย์ฝ่ายโกลิยะ คงมีการสืบต่อมาโดยลำดับ  และเสื่อมโทรมตามกาลเวลา  เมืองซึ่งเคยคับคั่งด้วยผู้คนแต่ก่อน  ปัจจุบันนี้ก็เหลือแต่ป่าและเนินดินเท่านั้น เป็นไปตามกฎของโลกมีเจริญขึ้นก็มีเสื่อมลง

            “รามคาม”   หรือเทวทหะ”  ในสมัยพุทธกาล ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเมืองเดียวกัน หรืออาจเป็นเมืองแฝดกัน เพราะราชทูตที่ไปขอรับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ มีหลักฐานว่า  มาจากรามคาม ไม่ปรากฏว่า มาจาก เทวทหะ เรื่องนี้อย่างไร ขอฝากผู้อ่านช่วยพิจารณาด้วย

 

 เทวทหะในปัจจุบัน :

            ที่ตั้ง นครเทวทหะ จากหลักฐานกล่าวเอาไว้ว่า  ยึดลุมพินี  เป็นจุดกึ่งกลางแดนต่อแดนระหว่างนครกบิลพัสดุ์  และนครเทวทหะ  ซึ่งพระนางมหามายาเทวี  ทรงพระครรภ์แก่ ประสงค์จะเสด็จไปประสูติพระโอรส    นครเทวทหะ ตามประเพณี  แต่เมื่อขบวนเสด็จมาถึงลุมพินีเท่านั้น ก็ประชวรพระครรภ์ และได้ประสูติพระโอรส คือ พระสิทธัตถกุมาร  ในเวลาก่อนเที่ยง ตรงกับวันเพ็ญเดือนหกทางจันทรคติ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี   ในเมื่อ กรุงกบิลพัสดุ์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของลุมพินีประมาณ  22  กิโลเมตร   นครเทวทหะ  ก็น่าที่จะต้องตั้งอยู่ทางตะวันออก ของลุมพินี  และระยะทางก็ไม่น่าจะห่างกันมากไปกว่า 20 - 24  กิโลเมตร 

แผนที่ประเทศเนปาล

            คณะสำรวจ ก็อาศัยการคำนวณด้วยเหตุผลนี้ เมื่อจะไปเสาะค้นหานครเทวทหะ จึงยึดเอาลุมพินีเป็นจุดเริ่มต้น  มุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออกตามถนนลุมพินี สู่สิทธารถนคร (Siddharth  Cityประมาณ 10 กิโลเมตร ก็บรรจบทางสามแยก เข้าถนนไภรหวา - กาฏมัณฑุ (Bhairhwa - Kathmandu Rood) ที่มุ่งสู่

กาฎมัณฑุเมืองหลวงของเนปาลปัจจุบัน มาถึงระหว่างหลักกิโลเมตรที่  13 - 14  จะมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แล้วเลี้ยวขวาลงไปทางทิศใต้เลาะไปตามทางเกวียน ถนนสัญจรแบบชนบท  ผ่านทุ่งนาและไร่ข้าวสาลีประมาณ  2  กิโลเมตร ก็จะถึงเนินดิน   2  เนิน ชาวบ้านว่า เป็นซากเมืองเก่า ก็น่าจะเป็นนครเทวทหะรวมระยะทางตามถนนรถยนต์จากลุมพินีถึงเทวทหะ ประมาณ 27 กิโลเมตร ระยะนี้ใกล้เคียงกับลุมพินีถึงเมืองกบิลพัสดุ์

 

ซากนครเทวทหะ ปัจจุบัน

 

            เนินดินซากเมืองเก่าดังกล่าว ปัจจุบันมีนามว่าสีตนคร”(Sitanagar)เหลือเพียงแต่เนินดิน  2  แห่ง  ตั้งอยู่ห่างกันราว 300 - 350  เมตร  มีลำธารเล็กๆสายหนึ่ง ไหลผ่านเนินดินทางด้านทิศตะวันออกทั้ง  2  แห่ง  บนเนินดินมีต้นไม้เบญจพรรณขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม ๆ  คงมีอายุนับร้อยๆปี รอบบริเวณเนินดินนั้น เป็นทุ่งนาและไร่ข้าวสาลี  อาณาบริเวณเนินดินทั้ง  2  แห่ง มีสภาพเป็นเนินสูงกว่าระดับพื้นที่ดินรอบๆ  ราว   3  เมตร 

            ผลการสำรวจ เนินดินหมายเลขมีเนื้อที่ประมาณ  3 - 4  ไร่  มีวิหารก่อด้วยอิฐ  มุงกระเบื้องดินเผา เป็นอาคารขนาดเล็ก  2 ´เมตร  สูง  2  เมตร  ภายในวิหารมีเทวรูปหินโบราณสีดำ (สันนิษฐานว่าน่าเป็นพระพุทธรูปซึ่งเก่าแก่มาก เทวรูปนั้นแตกหักชำรุดเสียหายมจนจำแนกไม่ออกว่าเป็นส่วนใดของเทวรูป  ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นได้ช่วยกันบำรุงรักษาและบูชาเสมอๆ สังเกตจากเครื่องสักการะบูชาหน้าเทวรูป  มีดอกไม้และฝุ่นสีต่างๆ วางเอาไว้ ตามธรรมเนียมชาวเนปาล  สำรวจพื้นที่ออกไปด้านทิศใต้ของเนินดินหมายเลข  1  คณะสำรวจได้พบกองอิฐโบราณขนาดใหญ่ ชนิดของเนื้อดิน ความหนา ความบาง และขนาด เป็นแบบเดียวกับแผ่นอิฐเผาอย่างที่เก็บรักษาไว้ ที่พิพิธภัณฑ์เมืองกบิลพัสดุ์         วางซ้อนเป็นชั้นๆ  ลักษณะคล้ายเป็นกำแพงเมืองหรือไม่ก็เป็นซุ้มประตู

            สำรวจไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของเนินดินหมายเลขระยะห่าง  300 - 350  เมตร พบเนินดินอีกแห่งหนึ่ง ขอเรียกว่า เนินหมายเลข  2  สภาพ เป็นเนินกว้างมีเนื้อที่มากกว่าเนินหมายเลข  1  น่าเสียดายที่ชาวบ้านได้บุกรุกพื้นที่ทำการเพาะปลูก ครอบครองเกือบทั้งหมดแล้ว  สิ่งปลูกสร้างที่เหลืออยู่ คือ  วิหารหลังเล็กๆ  ดุจเนินหมายเลข  1  มีรูปเคารพซึ่งแตกหักวางกองอยู่กลุ่มหนึ่ง  ด้านหน้าวิหาร  มีศาลาโปร่ง มุงด้วยกระเบื้องดินเผาขนาด  2 ´เมตร  ไม่มีการเทพื้นด้วยคอนกรีต 

            จากเนินดินทั้ง  2 เนิน สามารถมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยอยู่ทางทิศเหนือไม่ไกลนัก  วิหารบนเนินหมายเลข  2  นี้  ปลูกอยู่บนซากอิฐ หิน  ซึ่งวางเป็นชั้นๆ  ลักษณะดุจเป็นฐานของกำแพงหรือซุ้มประตู  พบหินตัดเกลี้ยง เป็นแผ่นหนา ๆ  ดุจแผ่นอิฐ  มีลวดลายแกะสลัก  และวางซ้อนเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ซากอิฐหินที่เป็นรากฐานเหล่านี้ จะมองเห็นได้ก็ต่อเมื่อลงไปที่ลำธารแล้วมองย้อนขึ้นมาตามตลิ่ง  สอบถามชาวบ้านถิ่นนั้น ได้คำตอบว่า  เป็นประตูเมืองสีตนคร   หรือ เทวทหะนั่นเอง

            คณะสำรวจ พยายามสอบถามชาวบ้านว่า มีอะไรที่เป็นโบราณสถาน หรือซากสถูปเจดีย์ทำนองนี้ อยู่ในบริเวณนี้หรือไม่ ได้รับคำตอบจากเจ้าถิ่นว่า นอกจากเนินทั้ง  2  เนินแล้วไม่มีซากอะไรซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเคยเป็นเมืองเก่ามาก่อน ดุจที่นครกบิลพัสดุ์  สันนิษฐานแบบหยาบๆว่า หรือจะเป็นเพราะวังหรือบ้านเรือนของชาวนครเทวทหะ สร้างด้วยโครงไม้เป็นหลัก ผ่านกาลนานไปจึงไม่เหลือซากไว้ให้ศึกษา  คณะสำรวจรู้สึกเสียดายที่กรมศิลปากร ประเทศเนปาลไม่ได้ขุดค้นสำรวจและทำรั้วล้อมรอบ อนุรักษ์บริเวณนี้เอาไว้ดุจที่เมืองกบิลพัสดุ์เก่า  มิฉะนั้น คงจะได้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สืบค้นต่อไป

 

สิ่งสำคัญรอบ ๆ  บริเวณนครเทวทหะ :

            1.  กำแพงเมืองเทวทหะ   เมื่อย้อนกลับออกมาที่ถนนใหญ่ อีกครั้ง จะพบคันดินยาวจากเหนือจรดใต้ลักษณะคล้ายกำแพง  ยาวมาก  ความสูงประมาณ  3 - 5  เมตร ความกว้างที่ฐานประมาณ10 กว่าเมตร   มีลักษณะคล้ายกำแพงเมืองเวสาลีที่เมื่อขุดลงไปจะพบฐานรากของป้อมและซากกำแพง  ดังนั้น คันเนินยาวเหยียดนี้ที่พบเห็นนี้ น่าจะเป็นกำแพงเมืองเทวทหะ  และห่างจากกำแพงเมืองไปทางตะวันตกประมาณ  100  เมตร   มีลำน้ำสายหนึ่ง  กล่าวว่า เป็นแควของแม่น้ำโรหินี  เพราะลำน้ำสายนี้ ไหลไปบรรจบกับแม่น้ำโรหินี (จริงที่ทิศใต้ประมาณ  3 - 4  กิโลเมตร  มีต้นน้ำมาจากเทือกเขาหิมาลัย

            2.  แม่น้ำโรหินี  (Rohini  River)  คณะสำรวจ ครั้นเดินทางย้อนกลับมาทางตำบล  บุตวาล (Butwal)   ห่างจากเนินเทวทหะ  มาประมาณ  6  กิโลเมตร  จะข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง ตัวสะพานสร้างด้วยโครงเหล็ก เหมือนสะพานรถไฟ  แม่น้ำสายนี้  คือ  “แม่น้ำโรหินี”  นั่นเอง   และภาษาปัจจุบัน ก็คงเขียนชื่อว่าโรหินี”  เอาไว้ที่คอสะพานโครงสร้างเหล็กนั้นด้วย  ต้นน้ำของโรหินีมีกำเนิดมาจากเทือกเขาหิมาลัย  ไหลลงไปทางทิศใต้ และมีลำน้ำสายที่กล่าวแล้วไหลมาบรรจบ  จากหลักฐานทางพุทธประวัติ  แม่น้ำโรหินีเคยเป็นชะนวนเหตุร้ายเกือบจะทำให้พระญาติทั้ง  2  นคร  ก่อสงครามแย่งน้ำทำนาแล้ว ในฤดูน้ำน้อย ชาวนครเทวทหะกักกั้นน้ำเอาไว้ใส่แปลงเกษตรของตน เพราะเมืองอยู่ต้นน้ำ  ส่วนชาวกบิลพัสดุ์ อยู่ปลายน้ำ ก็อดน้ำทำนา เมื่อไม่ได้น้ำพอหล่อเลี้ยวพืชกล้า ชาวกบิลพัสดุ์จึงยกทัพมาจะรบแย่งน้ำกัน  จนพระพุทธองค์ต้องเสด็จมาหย่าศึก  โดยทรงเตือนให้ทั้งสองฝ่ายพิจารณาเห็นค่าชีวิตของกันและกันมากกว่าค่าของน้ำ  การเสด็จมาหย่าศึกแย่งน้ำคราวนั้น ก็ได้กลายเป็นตำนานพระปางห้ามญาติ”  อีกปางหนึ่ง  หลังจากพุทธปรินิพพาน  พระอานนท์เมื่อจะนิพพาน ก็ได้มานิพพานที่ตรงท่ามกลางแม่น้ำโรหินีสายนี้  เพื่อป้องกันมิให้พระญาติทั้ง  2  ฝ่ายต้องวิวาทแย่งชิงอัฐิธาตุของท่าน แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

 

แม่น้ำโรหินี สายเลือดเลี้ยงชาวศากยะและโกลิยะ ต้นเหตุการณ์แย่งน้ำทำนา

 

            แม่น้ำโรหินี  ไม่ทราบว่ามีความยาวเท่าใด  และไหลไปบรรจบกับแม่น้ำสายใดในอินเดียทางใต้ไม่ปรากฏ ไม่ได้สำรวจสายน้ำนี้   แต่เมื่อกลับมาจากประเทศเนปาล ผ่านด่านสุเนาสี  ในเส้นทาง สุเนาลีกาเซีย / กุสินารา (Sunauli - Kazia Roadระยะทางประมาณ 17 - 18  กิโลเมตร คะเนว่า น่าจะตรงทิศทางที่แม่น้ำโรหินีไหลมาจากเนปาล  พวกเราพบว่า ได้ข้ามแม่น้ำสายหนึ่งไหลย้อนไปทางทิศตะวันออก (หรือจะไปบรรจบแม่น้ำอจิรวดีทางตอนใต้ของอินเดียก็ไม่ทราบ นี้คือความเห็นของผู้เขียน

 

3.  รามคามสถูป :  (Ramagama Stupa)  ได้กล่าวแล้วว่า รามคาม หรือ รามนคร  เป็นที่ตั้งสถูปองค์สำคัญของพระญาติฝ่ายโกลิยะ  รามคามสถูป  ตั้งอยู่ห่างจากนครเทวทหะเก่าไปตามถนนสายกาฏมัณฑุประมาณ  20  กิโลเมตร นับระยะทางจากบุตวาล Butwal 35 กิโลเมตร   ตามบันทึกของสมณจีน ถังซำ จั๋ง  กล่าวเอาไว้ว่า

รามคามตั้งอยู่กลางป่าทึบทางทิศตะวันออกของกรุงกบิลพัสดุ์ระยะทาง  500  ลี้ [2] มีผู้คนอาศัยน้อย  ทางด้านทิศตะวันออกของเมือง  มีสถูปก่อด้วยอิฐสูง  100 เชี้ยะ[3]  เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ได้รับส่วนแจกจากนครกุสินาราเป็น  1  ใน  8  แห่งของสถูปสำคัญ” 

            น่าเสียดายเมื่อผู้เขียนไปทำการสำรวจเมื่อ  26  กุมภาพันธุ์  2531  ไม่มีเวลาไปถึงรามคามสถูป ด้วยมิได้ตั้งเป้าหมายสำรวจเพราะนอกเส้นทาง  มิฉะนั้น คงจะได้หลักฐาน หรือรายละเอียดเกี่ยวกับ  เทวทหะ และ รามคาม มากกว่านี้    ประวัติและหลักฐาน  เมืองเทวทหะมีจำกัดจำเขี่ยมาก  แต่ก็ยังเป็นนิมิตอันดี ที่พระสงฆ์ไทยร่วมกับพระสงฆ์ชาวเนปาล  ปรารภว่า จะร่วมกันสร้างพุทธวิหารประจำไว้ที่ นครเทวทหะ  หรือ สีตนคร ตรงบริเวณเนินดินทั้ง  2  แห่ง  เพื่อพัฒนาโบราณสถานและการเผยแพร่พระศาสนาสืบต่อไป

 

                                                                                   

 

 

 

 



[1] ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร เล่ม 10 ข้อ 236 หน้า 177 พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ.2539 (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2539).

                [2] มาตราวัดระยะ 1 ลี้ = 500 เมตร ดังนั้น 500 ลี้ คงจะประมาณระยะทาง 250 กิโลเมตร  ผู้เขียนมีความเห็นว่า ถ้าวัดระยะทางตามมาตรานี้ ดูระยะทางจะไกลเกินข้อเท็จจริงไปมาก  สมมติว่า ถ้า 1 ลี้ เท่ากับ 100 เมตร ก็น่าจะได้ระยะทาง 50 กิโลเมตร ซึ่งจากการสำรวจพื้นที่สนามจริงครั้งนี้ ระยะห่างจากกบิลพัสดุ์ - ลุมพินี 22 กิโลเมตรเศษ และระยะทางจากลุมพินี เทวทหะ 27 กิโลเมตรเศษ รวมแล้ว เกือบ 50 กิโลเมตร ก็น่าจะเป็นระยะที่ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงมากกว่ามาตรา 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร

                [3]  ความสูง 1 เชียะ = 33  ซม 33X 100  =  3,300  ซม.  จึงสูงเท่ากับ   33  เมตร 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น