แจ้งข่าวนักศึกษา012173

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เครื่องมือการวิจัยทางปรัชญาและศาสนา

 

เครื่องมือการวิจัยทางปรัชญาและศาสนา

พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์ [1]

 

           การทำวิจัยทางปรัชญาและศาสนา ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ(qualitative research) (หรือผสมผสานกับการวิจัยเชิงปริมาณเพื่อความสมบูรณ์ของข้อมูลที่นำมายืนยัน)  หรืออาจเรียกได้ว่า เป็นการวิจัยเอกสาร(documentary research) ต้องการศึกษาแนวคิด ค้นหา วิเคราะห์  ตีความ เปรียบเทียบหลักการ / ทฤษฎี ทางปรัชญาหรือศาสนา หรือเจาะลึกลงไปถึงการแสวงหากรอบแนวคิดใหม่ๆ เพื่อสนองตอบความอยากรู้ หรือสร้างทฤษฎีใหม่  อันจะสามารถจะนำมาเป็นคำตอบ ทั้งสามารถจะนำประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสภาพบริบทของสังคมแห่งการเรียนรู้(ทางปรัชญา)และสังคมแห่งการปฏิบัติ(ศาสนา)

          โจทความคิดหลักทางปรัชญาเป็นเรื่องของการค้นหาความจริงด้วยเหตุผล สรุปเป็นกรอบได้ 3 ประเด็น คือ  1. เรา(มนุษย์) /โลก(จักรวาล) ตามความจริง(Truth)/ความเป็นจริง(Reality) เป็นอะไรแน่  (What is the Ultimate Truth or Reality of man & the Universe? 2. เราจะรู้และเข้าถึงความจริง/ความเป็นจริง(ของตัวเรา / ของโลก)นั้นได้อย่างไร(How should I know and realize their Truth or Reality?  และ 3. เราควรจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงสมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์และอาศัยอยู่ในโลกนี้ เอาอะไรมาตัดสินคุณค่าการประพฤติเช่นนั้น (What I ought to be   or  How should I live? What  life or ideal should I live or die for?

ในการวิจัยทางศาสนาก็คงไม่ต่างกันมากในโครงสร้าง (3 กรอบข้างต้น) แต่ต่างกันในรายละเอียด เพราะศาสนาโดยส่วนใหญ่เริ่มต้นที่ความศรัทธา(Faith)มาก่อน แม้ว่าศาสนาพุทธจะเน้นปัญญา(เหตุผล)เป็นหลัก แต่ก็ยังมีส่วนแห่งศรัทธา เรียกว่า “ศรัทธาประกอบด้วยปัญญา” เป็นส่วนผสมด้วย เพียงแต่ใช้ปัญญานำศรัทธา หรือ ใช้เหตุผลกำกับความเชื่อ   การวิจัยทางพุทธศาสนา จึงเน้นไปที่ การแสวงหาความหมาย  การตีความหลักคำสอนอย่างเป็นเหตุเป็นผล ให้ตรงหรือสอดคล้องกับหลักการดั้งเดิมของศาสนา การวิจัยเพื่อนำหลักคำสอนทางศาสนามาปรับใช้ตามให้เหมาะกับสภาพบริบทของชีวิตและสังคมที่อยู่ในกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ

ทั้งปรัชญาและพุทธศาสนาต่างก็ยึดหลักการที่ต้องการความรู้ ความเข้าใจ หยั่งถึง ความจริง หรือของจริง ที่ไม่ขัดแย้งต่อข้อเท็จจริง(Fact)หรือความจริง/สัจธรรม(Truth)  และชี้แนะกรอบการประพฤติตน / ดำรงตนในวิถีทางที่ถูกต้องดีงามเพื่อความสุขสงบของสังคมมนุษย์เป็นพื้นฐาน

ดังที่ได้นำเสนอมาก่อนหน้านี้ว่า การวิจัยทางปรัชญา/ศาสนา  เป็นส่วนหนึ่งในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ – มนุษยศาสตร์  เครื่องมือสำหรับการวิจัยด้านสังคมศาสตร์ จึงมีหลายแบบ และมีหลายชนิดซึ่งนักวิจัยสามารถนำมาใช้ได้ตามการออกแบบการวิจัย(Research Design) ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ หรือการวิจัยเชิงคุณภาพ และหรือการวิจัยเชิงบูรณาการ(ปริมาณผสมคุณภาพ) ซึ่งเมื่อใช้เครื่องมือดังกล่าวแล้ว สามารถหาคำตอบให้กับโจทการวิจัยในครั้งนั้นๆได้

 

1. เครื่องเมือการวิจัย(Research  Tools)

          เป็นที่ทราบกันดีว่า การวิจัยที่จะได้คำตอบออกมาต้องมีเครื่องมือและวิธีการเก็บข้อมูลที่เหมาะสม ได้ข้อมูล(คำตอบ)มาแล้ว ยังต้องมาจัดระบบความคิด ทำการวิเคราะห์ด้วยค่าทางสถิติ(Statistic Analysis) ต่างๆ หรือด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา(Content Analysis) และรายงาน อภิปรายผลที่ได้รับจากการวิจัยด้วยเครื่องมือเหล่านั้น  ในการเขียนบทความครั้งนี้ ผู้เขียน ตั้งใจจะนำเสนอเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับเครื่องมือการวิจัยทางปรัชญา/ศาสนา ครอบคลุมไปถึง  วิธีการเก็บข้อมูล  การวิเคราะห์ข้อมูล และการรายงานผลการวิจัย เป็นที่สุด  (ส่วนใดที่เป็นระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ที่แสดงกระบวนการสร้างเครื่องมือ การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC =Item Objective Conguence Index) หรืออัตราส่วนความตรงเชิงเนื้อหา (CVR: Content Validity Ratio) แม้กระทั่งการทดสอบเครื่องมือนำไปทดลองใช้  ผู้เข้ารับการอบรมคงจะได้รับความรู้จากวิทยากรทางด้านวิจัยเชิงปริมาณมากแล้ว จะขอข้ามส่วนนี้ไป)

          มีคนให้กรอบของเครื่องมือการวิจัย ว่า เครื่องมือการวิจัย  หมายถึง  วัสดุ  อุปกรณ์หรือเทคนิควิธีการที่ผู้วิจัยใช้ในการเก็บข้อมูลการวิจัย  รวมทั้งโดยการพิจารณาเลือกใช้เครื่องมือและเทคนิควิธีการที่มีผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิชาการได้คิดสร้างไว้เพื่อใช้ในการวิจัย  เช่น  แบบสอบถามวัดทัศนคติของ Thurstone  มาตราส่วนประมาณค่าของ  Likert  และวิธีการ  Semantic  Differential  ของ  Osgood  เป็นต้น  และหรือโดยการสร้างเครื่องมือวิจัย  ได้แก่แบบสอบถาม (Questionnaires)  แบบสัมภาษณ์(Interview)  และแบบสังเกตการณ์(Observation)  เป็นต้น  โดยอาศัยธรรมชาติและหลักการของปัญหาการวิจัย  รวมทั้งเกณฑ์มาตรฐาน  แล้วจึงนำไปทดลองใช้ (Try  Out)  ปรับปรุงแก้ไขแล้ว  จึงนำเครื่องมือการวิจัยไปใช้ในภาคสนาม  ดำเนินการสำรวจและเก็บข้อมูลการวิจัยจริงต่อไป  เพื่อให้เห็นภาพรวมของเครื่องมือการวิจัย จะขอเสนอโดยย่อดังนี้

          1.1  แบบสอบถาม(Questionnaire)  แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูล  ประกอบด้วยชุดของข้อคำถามที่ต้องการให้กลุ่มตัวอย่างตอบ  โดยกาเครื่องหมาย หรือ เขียนตอบ  หรือ กรณีที่กลุ่มตัวอย่างอ่านหนังสือไม่ได้หรืออ่านได้ยาก  อาจใช้วิธีสัมภาษณ์ตามแบบสอบถาม  ส่วนมากนิยมถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความคิดเห็น หรือความรู้สึกนึกคิด บุคลิกภาพ ค่านิยมและทัศนคติของผู้ตอบ  เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล 

1.1.1 โครงสร้างของแบบสอบถามโดยทั่วไปจะมีโครงสร้างหรือส่วนประกอบ  3  ส่วน  ดังนี้ 

ส่วนนำ คำชี้แจงในการตอบแบบสอบถาม  ที่ปกของแบบสอบถามจะเป็นคำชี้แจง  ซึ่งมักจะระบุถึงจุดประสงค์ในการให้ตอบแบบสอบถาม  หรือจุดมุ่งหมายของการทำวิจัย  อธิบายลักษณะของแบบสอบถาม  วิธีการตอบแบบสอบถามพร้อมตัวอย่าง 

    ส่วนที่ 1 ข้อมูลพื้นฐาน เกี่ยวกับสถานภาพส่วนตัวของผู้ตอบแบบสอบถาม จะให้ตอบเกี่ยวกับรายละเอียดส่วนตัว  เช่น   เพศ  อายุ  ระดับการศึกษา  อาชีพ   รายได้ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับว่าต้องการให้เป็นตัวแปรอิสระมากน้อยเพียงใด  

    ส่วนที่ 2 เป็นข้อคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด  ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการศึกษา

    ส่วนที่ 3 เป็นข้อคำถามปลายเปิด(Open Ended questions) ที่ต้องการให้ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความคิดเห็นอย่างเสรี ในประเด็นที่เป็นปัญหา และเสนอแนวทางแก้ไข  

1.1.2 รูปแบบของคำถาม ในแบบสอบถาม มี 6 ประเภท คือ

        1) คำถามที่มีคำตอบให้เลือก 2 ทาง (Dichotomous Questions)

        2) คำถามที่มีหลายคำตอบให้เลือก (Multiple Choice Questions)

        3) คำถามที่ผู้ตอบเลือกได้หลายคำตอบ(Checklist Questions หรือ Multiple Responses)

        4) คำถามที่ให้ผู้ตอบใส่ลำดับที่(Ranking Question)

        5) คำถามที่แสดงถึงระดับความเห็นด้วยหรือชอบ (Scale Questions)

        6) คำถามเปิด(Open-ended Questions) ส่วนใหญ่แยกไปทำในส่วนที่ 3 

1.2 แบบสัมภาษณ์(Interview form) การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล หลักฐาน โดยใช้การสนทนา หรือ การเจรจาอย่างมีจดมุ่งหมาย ระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย คือ นักวิจัย(ฐานะผู้สัมภาษณ์) และผู้ให้ข้อมูล(ฐานะผู้ถูกสัมภาษณ์) ด้วยบรรยากาศของการมีปฏิสัมพันธ์ อันดีระหว่างกัน  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงตรง  และเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการวิจัย แบบสัมภาษณ์ มีรายละเอียด ดังนี้

1.2.1 ลักษณะสำคัญของการสัมภาษณ์ 4 ประการ [2]

1) นักวิจัยเป็นผู้กำหนดเนื้อหาและโครงสร้างของการสนทนา

2) นักวิจัยพยายามหารายละเอียดเบื้องต้นเพื่อทำความเขาใจในตัวผู้ให้ข้อมูล

               3) ความสำเร็จสวนใหญ่ของการสัมภาษณ์ขึ้นนอยู่กับคำถามที่ใช้ในการ สัมภาษณ์ว่าเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการจะทราบหรือไม่เพียงใด และผู้ให้ ข้อมูลตอบคำถามตรงต่อความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด

4) นักวิจัยควรจะมีความชำนาญในการสัมภาษณ์พอสมควร

1.2.2 องค์ประกอบของการสัมภาษณ์ โดยทั่วไปการสัมภาษณ์จะมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้ 

ผู้สัมภาษณ์    ผู้ให้สัมภาษณ์    เรื่องที่จะสัมภาษณ์   เป้าหมายการสัมภาษณ์    วิธีการสัมภาษณ์ 

                    1.2.3 ประเภทของการสัมภาษณ์ จำแนกตามลักษณะโครงสร้างได้ 3 ประเภท คือ

                              1)  การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง(Structured interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่มีการวางแผน จัดเตรียมชุดคำถาม และวิธีการ สัมภาษณ์อย่างเป็นระบบและมีขั้นตอนล่วงหน้า มีการดำเนินงานแบบ เป็นทางการภายใต้กฎเกณฑ์หรือมาตรฐานเดียวกัน

2) การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง(Semi-Structured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่มีการวางแผน การสัมภาษณ์ไว้ก่อนล่วงหน้าอย่างเป็น ขั้นตอน แบบเข้มงวดพอประมาณ และ ข้อคำถามในการสัมภาษณ์มีโครงสร้าง แบบหลวม(Loosely structure)

                              3) การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ไม่มีการกำหนด กฎเกณฑ์เกี่ยวกับคาถามและลำดับ ขั้นตอนของการสัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้า เป็นการพูดคุยสนทนาตามธรรมชาติ(Naturalistic Inquiry)

การวิจัยเชิงคุณภาพมักใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก(In-depth Interview)  โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้

1. เพื่อช่วยเพิ่มเติมข้อมูลที่ได้มาจากวิธีการอื่นๆได้ดีขึ้น

2. เพื่อตรวจสอบความเป็นจริงของข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวมมาก่อน

                    3. เพื่อดูร่องรอยอื่นๆที่ไม่ได้แสดงออกมาด้วยคำพูด          

แนวคำถามที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพไม่ใช้แบบสอบถามที่ใช้ใน การวิจัยเชิงปริมาณ แนวคำถามจะเป็นเครื่องมือการวิจัยที่มีโครงสร้าง น้อยกว่าเมื่อเทียบกับแบบสอบถาม แต่แนวคำถามที่ดีควรมีความ ครอบคลุมและรัดกุม ดังนั้นในการสร้างแนวคำถามเพื่องานวิจัย ผู้ที่จะ สร้างแนวคำถามได้ดีควรต้องศึกษาปัญหา และวัตถุประสงค์ของการ วิจัยให้เข้าใจ จากนั้นจึงสามารถกำหนดแนวคำถามได้

                    1.2.4 ลักษณะการสัมภาษณ์  สามารถแบ่งออกเป็น  2  ลักษณะ คือ 

                         (1) การสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล (Personal Interview) และ

                                   (2) การสัมภาษณ์กลุ่ม(Focus Group Interview)

1.3  แบบสังเกต (Observation form)  การสังเกตเป็นเทคนิคการรวบรวมข้อมูลการวิจัยอย่างหนึ่ง  ที่ผู้สังเกตใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของผู้สังเกตในการศึกษาเหตุการณ์  ปรากฏการณ์ต่างๆ เพื่อให้เข้าใจลักษณะธรรมชาติและความเกี่ยวข้องกันระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ของเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์นั้นๆ แบบสังเกต มีรายละเอียดดังนี้  

1.3.1 ประเภทของการสังเกต แบ่งตามวิธีการสังเกตได้ 2 ประเภท คือ

                    1) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม(Participant observation)  การสังเกตแบบนี้จะเป็นลักษณะที่ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วมหรือทำกิจกรรมร่วมกับผู้ถูกสังเกต โดยที่ผู้ถูกสังเกตไม่รู้ตัวว่าถูกสังเกตอยู่   และเป็นการสังเกตทางตรง(Direct  Observation)ที่ผู้สังเกตการณ์สัมผัสกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตรงด้วยตนเอง 

                    2)  การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม(Non-participant observation) การสังเกตแบบนี้จะเป็นลักษณะผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมหรือไม่ได้เข้าทำกิจกรรมกับผู้สังเกต  เรียกว่า เป็นการสังเกตทางอ้อม(Indirect  Observation)  ที่ผู้สังเกตไม่ได้เฝ้าดูหรือศึกษาเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์นั้นๆโดยตรง  แต่จะดูหรือศึกษาจากสิ่งที่ได้บันทึกมา  เช่น  ภาพยนตร์  โทรทัศน์  เทปบันทึกภาพ(วิดีโอ)  เป็นต้น 

                    1.3.2 หลักในการสังเกต  มีข้อที่ควรคำนึง ดังนี้

1) ต้องมีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการสังเกตที่ชัดเจน

2) ต้องทำการสังเกตอย่างรอบคอบ  ตั้งใจ  และไม่ทำแบบผิวเผิน

3) เมื่อสังเกตเห็นสิ่งใดให้ทำการจดบันทึกไว้ทันที และไม่ลำเอียงในการจดบันทึก

4)  ควรจะมีการสังเกตซ้ำในบางเรื่อง ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลการสรุปอย่างเที่ยงตรง

1.3.3 คุณสมบัติของผู้สังเกตที่ดี [3] นักวิจัยที่ใช้เครื่องมือแบบสังเกต ควรมีคุณสมบัติ ดังนี้ 

                         1) มีความไวในการรับรู้และสื่อความหมาย 

                         2) มีความละเอียดรอบคอบและช่างสังเกต 

                         3) ความตั้งใจในการสังเกต 

                         4) มีความยุติธรรม(เป็นกลาง)

 

1.4 การประชุมกลุ่ม (Focus Group) หรือกลุ่มที่เจาะจง   เป็นเทคนิคหนึ่งในการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ การใช้เทคนิคแบบ Focus Group ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 โดยเริ่มต้นจากกลุ่มที่ทำงานทางด้านสังคมศาสตร์(Social Sciences) มีลักษณะเป็นการสนทนาแลกเปลี่ยนประเด็นปัญหา ที่มีการกำหนดหัวข้อเฉพาะบางประเด็นของผู้จัด(Organizer) โดยกลุ่มคนที่เข้าร่วมประมาณ 8-10 คน(แต่ไม่ควรเกิน 12 คน) ซึ่งเรียกว่าเป็น Participants หรือ Respondentsโดยผู้ที่จะเข้าร่วมการทำ Focus group จะได้รับการคัดเลือก(Screen) ตามเงื่อนไขมาอย่างดี  ตามความมุ่งหมายของกลุ่มเจาะจง คือ กลุ่มคนที่ถูกจัดขึ้นมา เพื่อการสนทนาหรืออภิปรายกัน โดยมีจุดมุ่งหมาเจาะจง เพื่อจะหาข้อมูลที่ถูกต้องตรงประเด็นสำหรับตอบคำถามการวิจัยเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ที่ว่าเจาะจง ก็เพราะสมาชิกในกลุ่มนั้นถูกเจาะจงเลือกมา โดยถือคุณสมบัติที่นักวิจัยกำหนด เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการวิจัย วัตถุประสงค์ของการจัดสนทนากลุ่มที่เจาะจงเช่นนั้นก็เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ดีที่สุด ตามจุดมุ่งหมายของการศึกษา โดยผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันของสมาชิกในวงสนทนา ไม่ใช่การให้สมาชิกตอบคำถามของนักวิจันเป็นรายคน ดังเช่นการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว วิธีการนี้จึงถูกเรียกกันโดยทั่วไปว่า การอภิปรายกลุ่มแบบเจาะจง หรือ Focus Group Discussion(FGD)[4]

Jane Imber and Betsy Ann Toffler ได้นิยาม Focus Group Interview ไว้ ดังนี้  การประชุมกลุ่ม หรือ การสัมภาษณ์กลุ่ม   คือ เทคนิคการสัมภาษณ์กลุ่มแบบไม่มีโครงสร้างซึ่งนำคน 8-12 คน มารวมกันภายใต้การนำของผู้สัมภาษณ์ที่ผ่านการอบรมแล้ว(Trained Modulator) โดยจะพูดคุยเจาะไปยังเรื่องเฉพาะเจาะจง(Specific Issue) เช่น ปัญหายาเสพติดของชุมชน ปัญหาการผลิต OTOP มีผู้ดำเนินการสนทนา (Modulator) ที่ชำนาญในการพูดคุย มีความชำนาญสูงในการทำหน้าที่แนะนำเรื่องที่จะคุย และคอยกระตุ้นสมาชิกสนทนา[5]

ในการทำ Focus Group มีองค์ประกอบที่จะต้องพิจารณา เพื่อให้งานสมบูรณ์ คือ
                    1) จำนวนกลุ่ม
                    2) ขนาดของกลุ่ม จำนวนคนเข้าร่วม
                    3) การจัดหาผู้เข้าร่วมสนทนา(Screen)
                    4) การพิจารณาผู้ดำเนินการสนทนา(Modulator)
                    5) การพิจารณาสถานที่ และการเก็บประเด็นข้อมูล
                    6) การพิจารณาแนวการสัมภาษณ์(Guide line)
    

1.5 นักวิจัย ในฐานะเป็นเครื่องมือของการวิจัย(Researcher) วิธีการทำวิจัยทางคุณภาพทั่วไปถือว่า  นักวิจัยเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลที่สำคัญที่สุด  นั่นคือผู้วิจัย หรือ นักวิจัยนับเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด เพราะงานวิจัยจะสำเร็จสมความมุ่งหมายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับนักวิจัย ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญ ที่จะรวบรวม วิเคราะห์ตีความ ดังนั้นนักวิจัยจึงต้องมีคุณลักษณะที่จำเป็นบางประการดังต่อไปนี้ [6]

1.5.1 มีความรู้พื้นฐานในสาขาวิชาที่ทำการวิจัยเป็นอย่างดี นับเป็นความจำเป็นมากที่นักวิจัยจะต้องมีความรู้เป็นอย่างดีในสาขาวิชาที่ตนทำการวิจัยอยู่เพื่อจะได้เลือกใช้เทคนิค วิธีการและเครื่องมือให้เหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะของงานวิจัยนั้น และสามารถค้นหาหรือเลือกใช้ความรู้จากงานวิจัยที่แล้วมาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การที่นักวิจัยมีความรู้ดีก็จะสามารถสรุปผลของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ฉะนั้นนักวิจัยจึงต้องค้นคว้าติดตามอ่านผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อจะได้ศึกษาความก้าวหน้าทางวิชาการและเทคนิคใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา

1.5.2 มีความรอบรู้ในสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่กำลังทำอยู่ นักวิจัยจ้ะองมีความรู้ในวิชาอื่นด้วย เพราะในการวิจัยนั้นอาจจะพาดพิงหรือเกี่ยวข้องกับวิชาต่าง ๆ อยู่บ้าง เนื่องจากขอบเขตของการวิจัยไม่สามารถจะแยกออกไปได้อย่างชัดเจนเหมือนวิชาเรียนในห้องเรียน เช่น การศึกษาเรื่องการคายน้ำของพืช ก็ต้องอาศัยความรู้ทางชีววิทยาและเคมี เป็นต้น ฉะนั้นนักวิจัยจึงต้องศึกษาและขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งอาจจะกลับไปทบทวนความรู้ที่เคยเรียนมาก่อนหรือไม่ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติม

 

2. การวิจัยทางปรัชญาหรือศาสนา ส่วนมากเป็นการวิจัยเชิงเอกสาร(Documentary Research)

          การวิจัยเอกสาร หมายถึง การวิจัยที่ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร รายงาน แล้วเสนอผลในเชิงวิเคราะห์ การวิจัยเอกสาร จึงเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างความรู้ที่นิยมใช้กันมากในสถาบันการศึกษา เพื่อเขียนวิทยานิพนธ์ หรือ เขียนรายงานอื่นๆ ที่จำเป็นต้องอาศัยเอกสารประเภทต่าง ๆ ในการอ้างอิง รวมทั้งใช้เมื่อต้องการรู้ผลเร็วในกรณีที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว หรือ กรณีที่ผู้วิจัยไม่มีงบประมาณพอ และอยู่ห่างไกลจากแหล่งข้อมูล ซึ่งไม่สามารถลงไปเก็บข้อมูลในพื้นที่จริงหรือสามารถไปได้โดยยากลำบาก

          การสร้างความรู้ใหม่ คงมิได้จำกัดในด้านการวิจัยอาศัยแหล่งข้อมูลจากเท่านั้น ผู้วิจัยยังสามารถค้นหาจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่มิใช่บุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แหล่งข้อมูลจากเอกสาร จารึก สารสนเทศ หรือข้อความที่เขียนบันทึก เป็นต้น การวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้ใหม่จากเอกสารต่างๆ ดังกล่าวมา เรียกว่า การวิจัยเอกสาร” (Documentary  Research) [7] การวิจัยทางปรัชญาและศาสนา ส่วนมากเน้นการวิจัยเอกสารเป็นหลัก ใช้เอกสารที่เป็นทฤษฎีทางปรัชญา หรือ คัมภีร์ทางศาสนาเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ จะขอให้ข้อมูลพื้นฐานการวิจัยเอกสารพอเป็นแนวสำหรับการทำวิจัยแนวนี้ ดังต่อไปนี้

     2.ความเป็นมาของการวิจัยเอกสาร    การวิจัยเอกสารเป็นการวิจัยเชิงบรรยาย มุ่งค้นหาข้อเท็จจริง หรืออธิบายปรากฏการณ์ที่ปรากฏว่า  มีสภาพความเป็นจริงอย่างไร การวิจัยประเภทนี้สามารถทำได้ในหลายลักษณะ  อาจศึกษาแบบสำรวจ หรือแบบหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร หรือแบบพัฒนาการก็ได้ แต่ผลการวิจัยที่ได้จะต้องสามารถตอบคำถามว่า สภาพการณ์ที่ศึกษาเป็นเช่นไร วิธีการศึกษาข้อมูลในการวิจัย อาศัยการสืบค้นข้อมูลเอกสาร การวิจัยเอกสารจึงเป็นสาขาหนึ่งของ  การวิจัยเชิงสำรวจ (survey research) ซึ่งเป็นการศึกษาปัญหาอย่างกว้าง ๆ เพื่อสำรวจหาข้อมูลเกี่ยวกับสภาพความเป็นจริง ลักษณะทั่ว ๆ ไป หรือความคลุมเครือของสิ่งที่จะต้องวิจัย สำรวจเนื้อหา บทเรียน ตำรา คัมภีร์  กฎหมาย  กิจกรรม โครงสร้างของหลักสูตร ระเบียบราชการ คำสั่ง  เป็นต้น เพื่อวิเคราะห์ อธิบาย ตีความ ขยายความ  เปรียบเทียบ ประเมิน อันจะเป็นแนวทางสำหรับการนำมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาของสังคมต่อไป

     2.2  ความหมายของการวิจัยเอกสาร    การวิจัยเอกสาร หมายถึง  การแสวงหาคำตอบหรือการสร้างองค์ความรู้ด้วยการใช้หนังสือ(text) เอกสาร(document) รวมถึงสื่อในรูปแบบอื่นๆ เช่น ภาพยนตร์  วีดิทัศน์  ภาพวาด  สมุดบันทึก  ทั้งที่เป็นสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ [8]ที่ได้มีการจัดพิมพ์ หรือเผยแพร่ไว้อยู่แล้ว  ด้วยเหตุนี้  คำว่า เอกสารจึงมิได้หมายถึงเฉพาะสิ่งพิมพ์เท่านั้น 

ในการวิจัยเอกสาร ผู้วิจัยจะเก็บรวบรวมข้อมูลจากหนังสือ  เอกสาร รายงานหรือสื่ออื่นๆ  แล้วเสนอผลการศึกษาในเชิงวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้  ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร ผู้วิจัยสามารถใช้ทั้งวิธีเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ

         เฉลิมลาภ ทองอาจ ให้ข้อควรพิจารณาการใช้แห่งข้อมูลเอกสารเพื่อการวิจัยอย่างน่าสนใจว่า  การศึกษาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เป็นเอกสารมีข้อที่ควรพิจารณา ซึ่งนักวิจัยควรกำหนดเป็นแนวทางในการวิจัยก็คือ เอกสารส่วนใหญ่ซึ่งอาจจะเขียนขึ้นโดยบุคคลหรือคณะบุคคลก็ตาม ย่อมต้องมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายเฉพาะสำหรับเอกสารชิ้นนั้น ตัวอย่าง เช่น นวนิยาย ผู้เขียนก็ต้องแต่งขึ้นตามจินตนาการเพื่อนำเสนอสารบางอย่าง โดยมีจุดเน้นเพื่อสร้างความบันเทิงหรือให้ข้อคิด ดังนั้น การนำนวนิยายมาวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์สภาพสังคม ประวัติศาสตร์ ค่านิยมหรือความเชื่อบางอย่างในนวนิยาย เป็นการวิเคราะห์ทางอ้อม เพราะในนวนิยายอาจจะมิได้กล่าวถึงประเด็นเหล่านี้อย่างชัดเจนนัก วัตถุประสงค์ของเอกสารที่นำมาศึกษากับวัตถุประสงค์ของการวิจัยจึงอาจจะไม่สอดคล้องกัน  ดังที่  Mogalakwe ได้อธิบายในประเด็นนี้สรุปได้ว่า  “เอกสารแต่ละฉบับนั้นเขียนขึ้นโดยมีเป้าหมายหรือยู่บนสมมติฐานที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ ยังนำเสนอในวิธีและรูปแบบที่แตกต่างกันไปอีกด้วย การนำข้อมูลจากเอกสารต่างๆ มาวิเคราะห์  นักวิจัยจึงต้องให้ความสำคัญ โดยจะต้องสนใจอย่างยิ่งต่อเป้าหมายที่แท้จริงของเอกสาร  รวมถึงผู้ที่เป็นผู้ใช้ข้อมูลจากเอกสารนั้นอย่างแท้จริง” [9]

     2.3  ประเภทของแหล่งข้อมูลเอกสาร       นักวิชาการได้แบ่งเอกสารที่นำมาใช้ในการศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้ใหม่ ออกเป็น 2 ประเภท  ดังนี้ 

               2.3.1  เอกสารชั้นต้นหรือเอกสารปฐมภูมิ(primary  document)  หมายถึง เอกสารที่เขียนขึ้นโดยบุคคลที่เรียกว่า ประจักษ์พยาน(eye-witness)  ที่อยู่ในเหตุการณ์ ณ ขณะที่เหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นจริงๆ ตัวอย่างเช่น  บันทึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้เขียนยังมีชีวิตอยู่ร่วมในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นั้น  หรือบันทึกส่วนตัว(diary)  ที่ผู้เขียนแสดงความคิดและความรู้สึกของตนเองในบันทึกนั้น  ซึ่งหากจะศึกษาบุคคล นักวิจัยก็สามารถศึกษาได้จากบันทึกส่วนตัวของบุคคลที่ตนเองสนใจ เพราะจะทำให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับสิ่งที่ต้องการศึกษามากที่สุด

               เอกสารชั้นต้นในทางปรัชญา ได้แก่ ตำราต่างๆที่นักปรัชญาเจ้าของทฤษฎีนั้นๆ แต่งขึ้นมา ส่วนในทางศาสนา หมายถึงตัวคัมภีร์หลัก ชั้นต้น ทางศาสนาพุทธ หมายถึงคัมภีร์พระไตรปิฎก หรือเรียกว่า พระบาลี รองลงมาจาก พระบาลีก็ลำดับชั้น อรรถกถา ถือว่าเป็นคัมภีร์สำคัญ

               2.3.2  เอกสารชั้นรองหรือเอกสารทุติยภูมิ(secondary document)  หมายถึง เอกสารที่เขียนขึ้นโดยบุคคลที่มิได้เป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง  ซึ่งอาจจะเป็นผู้ที่รับทราบข้อมูลจากประจักษ์พยาน  ด้วยการสนทนา หรือ การบอกเล่าสืบต่อๆ กันมา  หรือได้เคยอ่านผลงานการเขียนของประจักษ์พยาน ข้อมูลจากเอกสารชั้นรองนี้จึงอาจะมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนมากกว่าเอกสารชั้นต้น 

                นอกจากเกณฑ์การแบ่งตามประสบการณ์หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมของผู้เรียนแล้ว   เรายังสามารถแบ่งประเภทของเอกสารได้ตามแหล่งผลิตเอกสารฉบับนั้นๆ ด้วย กล่าวคือ แบ่งเป็น  เอกสารสาธารณะและเอกสารส่วนบุคคล ดังนี้

               (1) เอกสารสาธารณะ(public document)  หมายถึง เอกสารที่เขียนและตีพิมพ์เผยแพร่โดยหน่วยงานสาธารณะ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้เพื่อนำเสนอข้อมูล นโยบาย แนวทาง หรือข้อความรู้ต่างๆ ตัวอย่างของเอกสารสาธารณะ เช่น  กฎหมายในรูปพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา  กฎกระทรวง รายงานประจำปี  หรือเอกสารที่แสดงค่าสถิติต่างๆ ที่ได้มีการวิเคราะห์ไว้  เอกสารสาธารณะเหล่านี้เป็นเอกสารที่จัดพิมพ์ขึ้นเป็นประจำตามวาระของหน่วยงานราชการ

                          (2)  เอกสารส่วนบุคคล(personal document)  หมายถึง เอกสารที่มิได้เผยแพร่ต่อสาธารณะ  ซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลภายในของหน่วยงาน หรืออาจจะเป็นข้อมูลที่บุคคลเขียนขึ้นจากบันทึกส่วนตัว  จดหมายเตือนความจำ  หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในลักษณะอื่นๆ  เช่น  ภาพถ่าย  บันทึกทางการแพทย์เกี่ยวกับสุขภาพ  บันทึกประจำวัน  จดหมายส่วนบุคคล

2.4  เกณฑ์ในการเลือกเอกสาร    การคัดเลือกเอกสารเพื่อนำมาวิเคราะห์จึงเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับประเด็นในการวิจัยย่อมมีมาก เอกสารบางชนิดยังมีความซับซ้อนของข้อมูล ผู้วิจัยย่อมไม่อาจที่จะศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ครบทุกชิ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีเกณฑ์สำหรับการคัดเลือกเอกสารมาใช้ในการวิจัย  มีเกณฑ์ที่สำคัญ   4  ประการได้ดังนี้[10]   

               2.4.1  ความจริง(authenticity)  หมายถึง ผู้วิจัยจะต้องคัดเลือกเอกสารที่เป็นเอกสารที่แท้จริง (origin)  ซึ่งมีความสำคัญมากต่อการวิจัยทางสังคมศาสตร์ การพิจารณาว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารที่ให้ข้อมูลแท้จริงหรือไม่  จะเกิดขึ้นจากการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียนหรือหน่วยงานที่เขียนเอกสารว่ามีความน่าเชื่อถือถือไม่ อย่างไร  รวมถึงข้อมูลที่ปรากฏในเอกสารนั้น สอดคล้องกับข้อมูลในบริบทอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาที่มีการเขียนเอกสารนั้นอย่างไร   

2.4.2 ความถูกต้องน่าเชื่อถือ(credibility)  หมายถึง ผู้วิจัยจะต้องคัดเลือกเอกสารด้วยการพิจารณาว่า  เอกสารนั้นจะต้องไม่มีข้อมูลที่ผิดพลาด บิดเบือนหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ เอกสารจำพวกหนังสือพิมพ์หรือบทวิจารณ์ต่างๆ เพราะเป็นการเขียนข้อเท็จจริงที่ผู้เขียนได้แสดงความคิดเห็นของตนเองประกอบเข้าไปด้วย ข้อคิดเห็นเหล่านี้ หากผู้วิจัยมิได้สนใจศึกษา อาจจะทำมีอิทธิพลที่ทำให้ข้อมูลโดยภาพรวมเกิดการบิดเบือนไป

2.4.3  การเป็นตัวแทน(representativeness)  ในการคัดเลือกเอกสาร ผู้วิจัยจำเป็นต้องพิจารณาด้วยว่า  เอกสารดังกล่าวมีความเป็นตัวแทนหรือไม่ ในที่นี้ การเป็นตัวแทนมีหลายระดับ  ระดับแรก  หมายถึง  การที่เอกสารนั้นสามารถใช้แทนหรือเป็นแบบฉบับที่แทนเอกสารประเภทเดียวกันได้หรือไม่  และระดับที่สองคือ ข้อมูลในเอกสารที่จะนำมาวิเคราะห์นั้นจะต้องเป็นข้อมูลที่เป็นตัวแทนของประชากรได้  ตัวอย่างเช่น รายงานการวิจัยที่ได้มีการสุ่มตามวิธีวิทยาการวิจัย และใช้สถิติวิเคราะห์ที่ถูกต้อง ย่อมถือว่าข้อมูลหรือผลที่เสนอในงานวิจัยนั้นเป็นตัวแทนข้อมูล ที่จะนำมาวิเคราะห์ต่อได้

2.4.4 ความหมาย(meaning)  การใช้เกณฑ์ความหมาย หมายถึง การคัดเลือกเอกสารที่มีความชัดเจนและสามารถที่จะเข้าใจได้ง่าย  ผู้วิจัยจะต้องตรวจสอบเอกสารในเบื้องต้น ด้วยการพิจารณาข้อมูลคร่าวๆ ว่า เอกสารที่นำมาพิจารณานั้น มีข้อมูลใดที่เป็นนัยสำคัญหรือจะสร้างความหมายให้กับการวิจัยหรือไม่  การตีความเอกสารบางประเภท      จึงสามารถที่จะตีความทั้งในระดับที่เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งก็คือการสรุปสาระสำคัญที่ปรากฏ      อีกระดับหนึ่งคือ การตีความข้อมูลที่เป็นนัยที่ซ่อนแฝงอยู่  การตีความนัยค่อนข้างจะทำได้ยาก เพราะต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้ตีความ

นอกจากการวิจัยเชิงเอกสารจะได้มีการนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับการสังเคราะห์ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อหาจุดบกพร่องหรือข้อควรปรับปรุงแก่นโยบายหรือโครงการต่างๆ แล้ว  การวิจัยเชิงเอกสาร ยังเป็นการวิจัยที่ได้รับความนิยมในการศึกษาปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับความคิด ทรรศนะและค่านิยมของบุคคล ซึ่งปรากฏในงานเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลนั้น ตัวอย่างเช่น งานวิจัยทางอักษรศาสตร์ ภาษาและวรรณคดีอีกด้วย  ข้อดีของการวิจัยเชิงเอกสาร คือ มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้เครื่องมือหรือทรัพยากรในการวิจัยมาก ประหยัดเวลา และสามารถดำเนินการวิจัยได้อย่างรวดเร็ว เมื่อได้รับเอกสารสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลครบถ้วน   

          เป็นอันสรุปได้ว่า เครื่องมือการวิจัยทางปรัชญา หรือศาสนา ที่ใช้เอกสารเป็นแหล่งข้อมูลที่เรียกว่า การวิจัยเอกสารนั้นได้แก่ ผู้วิจัย ที่มีประสบการณ์ มีความรอบรู้ ใฝ่รู้  มีกรอบคิดตามสาขาวิชาที่ตนศึกษา เป็นสำคัญ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลที่ต้องอาศัยการตีความ ทั้งนี้เพราะการตีความเป็นพฤติกรรมทางสติปัญญา  ที่ค่อนข้างเป็นอัตวิสัย (subjective)  ผู้วิจัยจะพิจารณาข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาอาศัยกรอบความรู้ ทัศนคติและประสบการณ์ของผู้วิจัยเอง ผลของการตีความอาจจะไม่ตรงกับการตีความที่แท้จริงก็ได้  อนึ่ง ความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของข้อมูลในเอกสารที่นำมาวิเคราะห์ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การวิจัยเชิงเอกสารมีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้วิจัยไม่ได้คำตอบของปัญหาตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้   นักวิจัย จึงเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างยิ่ง.

 

3. การเก็บข้อมูล / การวิเคราะห์ข้อมูล

ขั้นตอนของกาวิจัยทางปรัชญา หรือ ศาสนา เมื่อคิดจะทำการศึกษาประเด็นใด ที่เกี่ยวหลักความคิด หลักธรรม หลักปฏิบัติ  ความเชื่อ หรือ พิธีกรรม ผู้วิจัยต้องแสวงหา สืบค้น รวบรวมเอกสารโดยตรง(ปฐมภูมิ) และเอกสารโดยอ้อม(ทุติยภูมิ) ที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุด หลากหลายที่สุด(เท่าที่เวลาและแหล่งข้อมูลที่จะหาได้อำนวย)  และลงมือศึกษาวิจัยในขั้นตอนว่าด้วยการเก็บรวบรวบรวมข้อมูล ดุจการเก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม เพียงแต่การวิจัยเอกสาร ไม่แจกแบบสอบถาม หรือขอสัมภาษณ์ แต่เป็นการลงมือเก็บเอกสาร คัดเลือก คัดกรอง ตามกรอบ ความจริง ความถูกต้องน่าเชื่อถือ การเป็นตัวแทน และความหมาย ดังแสดงขั้นตอนการเก็บข้อมูล ดังนี้ 

1. ศึกษาค้นคว้าข้อมูล(เอกสาร)ในระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ

2. ผู้วิจัยวางกรอบแนวคิด โดยกำหนดกรอบข้อมูล(เอกสาร)ให้สอดคล้องตรงประเด็นกับ

เป้าหมายของการวิจัย

3. ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูล โดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ที่กำหนดกรอบเอาไว้ เช่น ให้นิยามศัพท์ ความหมาย ลักษณะ ประเภท ระดับ คุณลักษณะ/คุณสมบัติ คุณและโทษ การตีความเชิงปฏิบัติการเป็นต้น   ซึ่งผู้วิจัยต้องใช้ความละเอียดรอบคอบอย่างที่สุด

4. สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ

ข้อสังเกต ความแตกต่างระหว่างการตรวจเอกสารและงานวิจัยเอกสาร คือ วัตถุประสงค์ของการตรวจเอกสารเป็นการทบทวนประสบการณ์ในอดีตที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย เพื่อเสริมความคิด ป้องกันความผิดพลาด และลดความซ้ำซ้อนในงานวิจัยที่จะทำ   ส่วนการวิจัยเอกสารเป็นการนำข้อมูลที่มีการเก็บรวมรวมมาทำการวิเคราะห์สังเคราะห์เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่

 

4. องค์ประกอบของการวิจัยทางปรัชญา หรือ ศาสนา

องค์ประกอบการวิจัยเอกสาร อาจมีได้หลายแบบ ดังนี้

แบบที่ 1  ประกอบไปด้วย 5 บท ได้แก่

บทที่ 1 บทนำ

ความสำคัญและที่มาของปัญหา

วัตถุประสงค์

กรอบแนวคิด

ขอบเขตการวิจัย

วิธีดำเนินการวิจัย/แหล่งข้อมูล

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

บทที่ 2 การตรวจเอกสาร (อาจใช้ชื่อเนื้อหาในการตรวจเอกสารเป็นชื่อบท จำนวนบทขึ้นอยู่กับกรอบแนวคิดในการศึกษา )

บทที่ 3 บทวิเคราะห์ สังเคราะห์

บทที่ 4 การนำไปใช้

บทที่ 5 สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ

 

 

 

ตัวอย่างแบบที่ 1 : การศึกษาวิเคราะห์หลักธรรมจากการตอบปัญหาเทวดาของพระพุทธเจ้า

โดย พันตรีสมคิด สวยล้ำ ปริญญา : พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พระพุทธศาสนา)

บทที่ 1 บทนา

1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย   

1.3 ขอบเขตของการวิจัย  

1.4 คำจำกัดความของศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย  

1.5 ทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง  

1.6 วิธีดำเนินการวิจัย  

1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ  

บทที่ 2 แนวคิดเกี่ยวกับเทวดาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท  

2.1 ความหมายของเทวดา  

2.2 ความเป็นมาของเทวดา  

2.3 ประเภทของเทวดา  

2.3.1 สมมติเทพ   

2.3.2 อุปปัตติเทพ  

2.3.3 วิสุทธิเทพ  

2.4 หลักธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดเป็นเทวดา   

2.4.1 บุญ   

2.4.2 สัมปทา

2.4.3 วัตตบท  

2.4.4 เทวธรรม   

2.5 อายุขัยของเทวดา

บทที่ 3 การตอบปัญหาเทวดาของพระพุทธเจ้า

3.1 สาเหตุที่เทวดาทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า

3.1.1 กลัวต่อมรณภัย

3.1.2 กลัวจะไปเกิดในนรก

3.1.3 เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า

3.1.4 ต้องการตอบสนองความอยากรู้ของตน

3.2 การตอบปัญหาเทวดาของพระพุทธเจ้า

3.2.1 ปัญหาของพระพรหม

3.2.2 ปัญหาของท้าวสักกะ

3.2.3 ปัญหาของเทวดาที่ปรากฏนาม

3.2.4 ปัญหาของเทวดาที่ไม่ปรากฏนาม

3.3 หลักการตอบปัญหาเทวดาของพระพุทธเจ้า

3.4 เหตุผลในการตอบปัญหาเทวดาของพระพุทธเจ้า

3.4.1 เพราะทรงบาเพ็ญพุทธกิจให้บริบูรณ์

3.4.2 เพราะทรงเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

3.4.3 เพราะทรงคำนึงถึงสติปัญญาความสามารถของผู้ฟัง

3.4.4 เพราะทรงอนุเคราะห์ชาวโลก

3.4.5 เพราะเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า

3.4.6 เพราะเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา

3.4.7 เพราะการให้ธรรมยอดเยี่ยมกว่าการให้ทั้งปวง

บทที่ 4 วิเคราะห์หลักธรรมจากการตอบปัญหาเทวดาของพระพุทธเจ้า

4.1 หลักธรรมเพื่อสนองความอยากรู้ของเทวดา

4.2 หลักธรรมเพื่อพัฒนาตนเอง

4.3 หลักธรรมเพื่อพัฒนาสังคม

4.4 หลักธรรมเพื่อพัฒนาไปสู่ความหลุดพ้น

บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ

5.1 สรุปผลการวิจัย

5.2 ข้อเสนอแนะ

 

การวิจัยเรื่อง “การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในพระพุทธศาสนาเถรวาท : กรณีศึกษามโหสถชาดก

โดย ว่าที่เรือตรี ปกรณ์ ศรีปลาด

บทที่ 1 บทนา

1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา  

1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย  

1.3 คำจำกัดความในการวิจัย

1.4 ขอบเขตของการวิจัย  

1.5 วิธีการดาเนินการวิจัย

1.6 ทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง   

1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าได้รับ  

บทที่ 2 โครงสร้างเนื้อหาของมโหสถชาดก

2.1 โครงสร้างของชาดก   

2.1.1 ลักษณะของนิบาตชาดก  

2.1.2 ลักษณะของอรรถกถาชาดก  

2.2 ความหมายและกาเนิดมโหสถบัณฑิต   

2.2.1 ความหมายของคาว่ามโหสถ  

2.2.2  กาเนิดมโหสถ   

2.3 การบาเพ็ญบารมีของมโหสถโพธิสัตว์  

2.3.1 ความหมายของบารมี  

2.3.2 ระยะเวลาของการบาเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์   

2.3.3 ระดับของการบาเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์

2.4 วัตถุประสงค์ของการตรัสมโหสถชาดก  

2.5 ผลของการตรัสเรื่องมโหสถชาดก 

บทที่ 3 ศึกษาวิเคราะห์ข้อพิพาทที่ปรากฏในมโหสถอรรถกถาชาดก

3.1 แนวคิดเกี่ยวกับข้อพิพาท 

3.2 ข้อพิพาทที่ปรากฏในมโหสถอรรถกถาชาดก  

3.2.1 ข้อพิพาทเรื่องโค 

3.2.2 ข้อพิพาทเรื่องเครื่องประดับทาเป็นปล้อง ๆ  

3.2.3 ข้อพิพาทเรื่องด้ายกลุ่ม  

3.2.4 ข้อพิพาทเรื่องบุตร 

3.2.5 ข้อพิพาทเรื่องคนเตี้ยชื่อโคฬกาฬ  

3.2.6 ข้อพิพาทเรื่องรถ  

3.3 สรุปสาเหตุที่ก่อให้เกิดข้อพิพาท  

3.3.1 สาเหตุภายใน   

 3.3.2 สาเหตุภายนอก 

บทที่ 4 วิเคราะห์วิธีการที่มโหสถบัณฑิตใช้ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

4.1  วิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของมโหสถบัณฑิต  

4.1.1  การอภิปรายปัญหาหรือข้อพิพาท  

4.1.2  การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 

4.2  ผลอันเกิดจากข้อพิพาท 

4.3  หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท  

4.3.1  หลักธรรมเชิงรับในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท   

4.3.2  หลักธรรมเชิงรุกในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท   

4.3.4 หลักธรรมคู่ขนานในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 

4.4 สรุปสาเหตุที่ทำให้มโหสถบัณฑิตไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสาเร็จ  

4.4.1 สาเหตุภายใน  

4.4.2 สาเหตุภายนอก  

บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ

5.1 สรุปผลการวิจัย 

5.2 ข้อเสนอแนะ 

 

เรื่อง ความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

: ศึกษากรณีเทศบาลนครพิษณุโลก

โดย นายชาญณวุฒ ไชยรักษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

1. บทนำ

1.1 วัตถุประสงค์ในการวิจัย

1.2 กรอบแนวความคิด

1.3 ขอบเขตของการวิจัย

1.4 วิธีดำเนินการวิจัยข้อมูลและแหล่งข้อมูล

1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

2. เทศบาลและเทศบาลนครพิษณุโลก

2.1 เทศบาล

2.2 เทศบาลนครพิษณุโลก

3. แนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมและการมีส่วนร่วมของประชาชน

3.1 แนวความคิดเรื่องหลักความโปร่งใส

3.2 แนวความคิดเรื่องหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน

3.3 งานวิจัยที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วม

3.4 ตัวชี้วัดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม

4. บทวิเคราะห์

4.1 เทศบาลนครพิษณุโลกกับความโปร่งใส

4.2 เทศบาลนครพิษณุโลกกับการมีส่วนร่วมของประชาชน

4.3 เทศบาลนครพิษณุโลกกับความเชื่อถือไว้วางใจของสาธารณชน

5. สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ

 

แบบที่ 2

ตัวอย่างแบบที่ 2  เรื่อง ป่าชุมชนในประเทศไทย : แนวทางการพัฒนา เล่ม 3 ป่าชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

โดย เสน่ห์ จามริก และยศ สันติสมบัติ สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา

บทที่ 1 บทนำ

1.1 ความสำคัญของปัญหาของการศึกษา

1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา

1.3 กรอบความคิดในการศึกษา

1.4 เกณฑ์การเลือกพื้นที่

1.5 ระเบียบวิธีการวิจัย

1.6 การแบ่งยุคเพื่อการศึกษา

บทที่ 2 ลักษณะทางกายภาพ

2.1 ลักษณะกายภาพภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

2.2 ลักษณะพืชพรรณป่าของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

2.3 ลักษณะกายภาพพื้นที่ป่าที่ศึกษา

บทที่ 3 ความหมายของป่าชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

3.1 ปัญหาของป่าชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

3.2 เหตุผลและประสบการณ์ของชาวบ้านในการใช้พื้นที่ป่า

3.3 กรณีศึกษาเพื่อใช้เป็นแนวสรุปความหมาย

3.4 การเลือกใช้พื้นที่ป่าของชาวบ้าน

3.5 ระดับของสิทธิใช้สอย

3.6 ป่าชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : ความหมายจากการศึกษา

บทที่ 4 การเปลี่ยนแปลงในสภาพทรัพยากรป่าชุมชน

4.1 สภาพทรัพยากรป่าชุมชนในอดีต

4.2 สภาพทรัพยากรป่าชุมชนยุคบุกเบิกป่า

4.3 สภาพทรัพยากรป่าชุมชนในปัจจุบัน

4.4 เหตุแห่งความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ

4.5 การเปลี่ยนแนวความคิดการปลูกพืชของชาวบ้าน

4.6 บทสรุปสถานภาพทรัพยากรป่าชุมชน

บทที่ 5 การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ

5.1 ภาพรวมทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อป่าชุมชน

5.2 สภาพเศรษฐกิจป่าชุมชน

5.3 เหตุปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรป่าชุมชน

5.4 บทสรุปเศรษฐกิจการผลิตบนพื้นที่ป่าชุมชน

บทที่ 6 การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมความเชื่อ

6.1 กรอบการนำเสนอ

6.2 ความเข้มข้นของวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับป่า

6.3 เหตุปัจจัยที่มีผลกระทบต่อวัฒนธรรมความเชื่อ

6.4 การปรับตัวทางวัฒนธรรมของป่าชุมชน

6.5 บทสรุปป่าชุมชนภายใต้การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมความเชื่อ

บทที่ 7 การปรับตัวทางสังคมเพื่อการบริหารและการจัดการทรัพยากร

7.1 รูปแบบการบริหารจัดการทรัพยากรป่าชุมชน

7.2 องค์กรชุมชน

7.3 ความขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรชุมชน

7.4 ประเด็นที่น่าสนใจ

บทที่ 8 สรุปและข้อเสนอแนะ

8.1 ลักษณะของป่าชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

8.2 เงื่อนไขการเกิดและการดำรงอยู่ของป่าชุมชน

8.3 การบริหารการจัดการป่าชุมชน

8.4 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

 

 เอกสารอ้างอิง

เฉลิมลาภ ทองอาจ, การวิจัยเอกสาร (documentary research), http//www.gotoknow.org. สืบค้นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555.

ชาญณวุฒ ไชยรักษา. ความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : กรณีศึกษาเทศบาลพิษณุโลก. คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, มปป.

ชาย โพธิสิตา, ศาสตร์และศิลป์แห่งการวิจัยเชิงคุณภาพ, นครปฐม : สถาบันวิจัยประชากรและสังคม, มหาวิยาลัยมหิดล, 2547.

ปกรณ์ ศรีประหลาด, ว่าที่เรือตรี,  “การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในพระพุทธศาสนาเถรวาท : กรณีศึกษามโหสถชาดก, วิทยานิพนธ์ปริญญาโท สาขา พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พระพุทธศาสนา), มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย, กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย 2553.

ประชาสรรณ์ แสนภักดี, เภสัชกร,  การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) , M.P.H. CMU ผู้จัดการศูนย์ฝึกอบรมภูมิปัญญาสู่สากล – ขอนแก่น e-mail : dmindmap@yahoo.com สืบค้นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555.

ปดิวรัดา  ปาลกะวงศ์    อยุธยา, การวิจัยนิเทศศาสตร์,  กรุงเทพฯ :   คณะวิทยาการจัดการ  สถาบันราชภัฏธนบุรี. มปป.

สมคิด สวยล้ำ, พันตรี, “การศึกษาวิเคราะห์หลักธรรมจากการตอบปัญหาเทวดาของพระพุทธเจ้า”

วิทยานิพนธ์ปริญญาโท สาขา พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พระพุทธศาสนา), มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย, (กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย 2553.

เสน่ห์ จามริก และยศ สันติสมบัติ, ป่าชุมชนในประเทศไทย : แนวทางการพัฒนา เล่ม 3 ป่าชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา, 2536.

อมรรัตน์ รัตนสิริ  และคณะ www.kku.ac.th/sompong/cm2/indepth.pdf, สืบค้นวันที่  28 กุมภาพันธ์ 2555.

http://www.watpon.com/Elearning/res1.htm, สืบค้นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555.

Mogalakwe, M.,  “The use of documentary research methods in social research.”,  African sociological review. 10 (1): 2006.

Scott, J.,  A matter of record : Documentary sources in social research,   London : Polity press Cambridge. 1990. 

Scott . J., Documentary research.  London : Sage. , 2006.

 



[1]  อาจารย์ ดร.พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์, รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม และอาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เรียบเรียงเพื่อโครงการอบรมนักวิจัย รุ่น  2 วันที่  21-22 มีนาคม 2555. ณ ห้องประชุม อาคารรวม บัณฑิตวิทยาลัย-สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

[2] รศ.ดร. อมรรัตน์ รัตนสิริ  และคณะ www.kku.ac.th/sompong/cm2/indepth.pdf, สืบค้นวันที่  28 กุมภาพันธ์ 2555.

[3]  ผู้ช่วยศาสตราจารย์  ปดิวรัดา  ปาลกะวงศ์    อยุธยา, การวิจัยนิเทศศาสตร์,  (กรุงเทพฯ :   คณะวิทยาการจัดการ  สถาบันราชภัฏธนบุรี), มปป.

[4] ชาย โพธิสิตา, ศาสตร์และศิลป์แห่งการวิจัยเชิงคุณภาพ, (นครปฐม : สถาบันวิจัยประชากรและสังคม, มหาวิยาลัยมหิดล, 2547, หน้า  208-9.

[5] เภสัชกรประชาสรรณ์ แสนภักดี,  การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) , M.P.H. CMU ผู้จัดการศูนย์ฝึกอบรมภูมิปัญญาสู่สากล – ขอนแก่น e-mail : dmindmap@yahoo.com สืบค้นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555.

[7] เฉลิมลาภ ทองอาจ,  การวิจัยเอกสาร (documentary research), http//www.gotoknow.org. สืบค้นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555.

[8] Scott . J., Documentary research.  (London : Sage. , 2006),

[9] Mogalakwe, M.,  “The use of documentary research methods in social research.”,  African sociological review. 10 (1): 2006.  pp. 221-230. (อ้างอิงโดยเฉลิมลาภ)

[10] Scott, J.,  A matter of record : Documentary sources in social research, ( London : Polity press Cambridge. 1990), pp 1-2. 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น