แจ้งข่าวนักศึกษา012173

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

การวิเคราะห์เนื้อหาในงานวิจัยทางปรัชญา / ศาสนา

 

การวิเคราะห์เนื้อหาในงานวิจัยทางปรัชญา / ศาสนา

------------------

พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์ [1]

ในการอบรมโครงการพัฒนานักวิจัยภาคเหนือ 2 ครั้งที่ผ่านมา ผู้เข้าอบรมได้รับทราบถึงหลักการ วิธีการและเป้าหมายของการวิจัยทางปรัชญา/ศาสนา ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งในร่มใหญ่ของการวิจัยทางสังคมศาสตร์จำแนกออกมาเป็นพิเศษเพื่อให้เห็นว่า การวิจัยทางปรัชญาและศาสนา มีความเฉพาะปลีกย่อยของตน ทั้งในด้านหลักทฤษฎี และระเบียบวิธีการวิจัย ดังที่เคยสรุปไว้ในการอบรมครั้งที่ 1 นั้นว่า  “แนวความคิดทางปรัชญาของนักปรัชญาสำนักต่างๆ เป็นเสมือนความรู้ด้านทฤษฎี ทฤษฎีเปรียบเสมือน ดวงตา  หรือ  ญาณ [2]  ที่จะช่วยให้นักวิจัยมองสิ่งที่อยู่รอบๆตัวออกว่า อะไรคือประเด็นปัญหาที่ควรหยิบมาทำการวิจัย และปัญหานั้นควรจะถูกศึกษาภายใต้มุมมองอะไร ส่วนความรู้และทักษะในระเบียบวิธีนั้น เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้นักวิจัยสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการวิจัยทางปรัชญา มักจะวิจัยจากข้อมูลเชิงเอกสาร หรือจากแนวคิดของบุคคล เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ(qualitative research)  ไม่เน้นการนำเสนอในรูปแบบปริมาณอันสามารถชั่ง ตวง วัด (แต่ก็สามารถใช้การวิจัยเชิงปริมาณได้ หรือ ใช้แบบผสมผสานในการวิจัยเชิงประยุกต์เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงเสริมการวิเคราะห์เนื้อหา)

ในการอบรมครั้งที่สอง ผู้เขียนเน้นว่า ในเมื่อการวิจัยทางปรัชญา/ศาสนาส่วนใหญ่ใช้ข้อมูลทางเอกสาร ตำรับตำรา  ทางปรัชญา / ทางศาสนา หรือแนวคิดของบุคคลผู้ทรงภูมิรู้ ถอดออกมาเป็นองค์ความรู้ การวิจัยทางปรัชญา/ศาสนา จึงเป็นการวิจัยเอกสาร(documentary research) [3]ต้องการศึกษาแนวคิด ค้นหา วิเคราะห์  ตีความ เปรียบเทียบหลักการ / ทฤษฎี ทางปรัชญาหรือศาสนา หรือเจาะลึกลงไปถึงการแสวงหากรอบแนวคิดใหม่ๆ เพื่อสนองตอบความอยากรู้ หรือสร้างทฤษฎีใหม่  อันจะสามารถจะนำมาเป็นคำตอบ และนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสภาพบริบทของสังคมแห่งการเรียนรู้(ทางปรัชญา)และสังคมแห่งการปฏิบัติ(ศาสนา) เครื่องมือการวิจัยที่เป็นเทคนิควิธีก็คงไม่แตกต่างกับเครื่องมือวิจัยหลักที่นักวิจัยใช้โดยทั่วไป ประการสำคัญที่สุดอยู่ที่นักวิจัยเอง ซึ่งนักวิจัย จึงเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างยิ่ง[4] คุณลักษณะของผู้วิจัย ต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ มีความรอบรู้ ใฝ่รู้  มีกรอบคิดตามสาขาวิชาที่ตนศึกษา เพราะกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารหรือแนวคิดจากการการสัมภาษณ์ผู้ทรงภูมิรู้ต้องอาศัยการตีความ โดยผู้วิจัยจะพิจารณาข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาอาศัยกรอบความรู้ ทัศนคติและประสบการณ์ของผู้วิจัยเอง 

และผู้เขียนได้ให้หลักการในการเก็บข้อมูล เอาไว้พอเป็นแนว คือ เมื่อผู้วิจัยคิดจะทำการศึกษาประเด็นใด ที่เกี่ยวหลักความคิด หลักธรรม หลักปฏิบัติ  ความเชื่อ หรือ พิธีกรรม ผู้วิจัยต้องแสวงหา สืบค้น รวบรวมเอกสารโดยตรง(ปฐมภูมิ) และเอกสารโดยอ้อม(ทุติยภูมิ) ที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุด หลากหลายที่สุด(เท่าที่เวลาอำนวยและแหล่งข้อมูลที่จะหาได้)  แล้วลงมือเก็บรวบรวบรวมข้อมูล ดุจการเก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม โดยการ คัดเลือก คัดกรอง ตามกรอบ ความจริง ความถูกต้องน่าเชื่อถือ การเป็นตัวแทน และความหมาย จากแหล่งข้อมูลที่คัดเลือกไว้ ซึ่งมีลำดับขั้นตอนในการเก็บข้อมูล ดังนี้  1. ศึกษาค้นคว้าข้อมูล(เอกสาร)ในระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ 2. ผู้วิจัยวางกรอบแนวคิด โดยกำหนดกรอบข้อมูล(เอกสาร)ให้สอดคล้องตรงประเด็นกับ

เป้าหมายของการวิจัย 3. ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูล โดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ที่กำหนดกรอบเอาไว้ เช่น ให้นิยามศัพท์ ความหมาย ลักษณะ ประเภท ระดับ คุณลักษณะ/คุณสมบัติ คุณและโทษ การตีความเชิงปฏิบัติการเป็นต้น   ซึ่งผู้วิจัยต้องใช้ความละเอียดรอบคอบอย่างที่สุด 4. สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ

         ในการอบรมครั้งที่ 3 นี้ จึงเป็นการต่อยอดการอบรมสองครั้งที่ผ่านมา คือการะบวนการวิเคราะห์ข้อมูล และการเขียนรายงานการวิจัยทางปรัชญา/ศาสนา ดังมีรายละเอียดจำแนกเป็นประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้

 1. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Analysis of Qualitative Data)

การวิเคราะห์เนื้อหาทางปรัชญา หรือศาสนา เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ซึ่งในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพมีหลายวิธี ดังที่ Miles และ Huberman ได้จำแนกวิธีวิเคราะห์หลักๆออกเป็น 3 วิธีคือ[5]

1.1    วิธีการตีความ (Interpretation approaches) เป็นการหาความหมายเพื่อทำความเข้าใจการปฏิบัติจากความหมายและการกระทำต่างๆ ซึ่งการกระทำของมนุษย์ถูกมองว่าเป็นรูปแบบการแสดงออกทางสัญลักษณ์ของความหมาย (a collection symbols expressing layers of meaning)   ข้อมูลจากการสัมภาษณ์และการสังเกตจะถูกคัดลอกหรือถ่ายทอดในการเขียนบริบทเพื่อการวิเคราะห์  การตีความบริบทอย่างไรจะขึ้นอยู่กับกรอบทฤษฏีที่นักวิจัยนำมาใช้ ในทางปรัชญาหรือศาสนา เราใช้ตีความหมาย จากคำศัพท์ บท วิลี ประโยค หรือ ข้อความ เนื้อหา สาระที่ ผู้วิจัยต้องการแสดงความหมายที่คลุมเครือให้ชัดเจน ซึ่งจะยกตัวอย่างในขั้นตอนการวิเคราะห์เนื้อหาในลำดับถัดไป

1.2 วิธีการทางมานุษยวิทยา (Social anthropological approaches)  ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการวิจัยภาคสนามหรือกรณีศึกษา(case study) นักวิจัยจำเป็นต้องใช้เวลาในการพิจารณาชุมชนหรือคัดเลือกปัจเจกบุคคลในการวิจัย ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งจะทำให้ผู้วิจัยมีมุมมองที่พิเศษจากข้อมูลที่ถูกรวบรวมระหว่างการวิจัย  เช่น มีความเข้าใจที่พิเศษจากการเข้าไปมีส่วนร่วม และปัจเจกชนเหล่านี้ตีความโลกทางสังคมของพวกเขาอย่างไร ปกตินักวิจัยที่ใช้วิธีการทางสังคมมนุษย์ จะสนใจในพฤติกรรมปกติที่เกิดขึ้นในทุกวันของชีวิตที่ดำเนินไป (everyday life) เช่น  ภาษาและการใช้ภาษา  พิธีกรรมและประเพณีต่างๆ และความสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ  งานของนักวิจัย  คือ การให้คำนิยามหรือคำจำกัดความและอธิบายวิธีการที่ประชาชนในสังคมใช้หรือปฏิบัติตามที่กำหนดไว้  เช่น   ประชาชนเข้าใจสิ่งต่างๆ  ได้อย่างไร   การให้เหตุผล การกระทำ   และการจัดการชีวิตในแต่ละวัน  นักวิจัยหลายคนใช้วิธีนี้  โดยเริ่มต้นจากกรอบแนวคิดหรือทฤษฏีแล้วเข้าไปสู่การวิจัยภาคสนามเพื่อทำการพิสูจน์หรือแก้ไขกรอบแนวคิด

1.3 วิธีการวิจัยการมีส่วนร่วมทางสังคม (Collaborative social research approaches) คือ การเข้ามีส่วนร่วมของสิ่งที่ศึกษาหรือคนที่ผู้วิจัยจับตามอง เช่น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีการกระทำ   ข้อมูลจะถูกรวบรวมและพิจารณาทั้งในแง่ของผลสะท้อนกลับ(feedback)ต่อการกระทำ  และการใช้ทำความเข้าใจสถานการณ์หนึ่งๆ  ตลอดจนเพื่อแก้ไขปัญหาหรือความสะดวกในการทดลองภาคสนาม กลยุทธ์ที่นำมาใช้อาจคล้ายกับวิธีการตีความ(Interpretative) และวิธีการทางสังคมมนุษย์ (Social anthropological  approaches)

 

2. การวิเคราะห์เนื้อหา(Content analysis)

         2.1 ความหมาย หลักคิดเกี่ยวกับการวิเคราะห์เนื้อหา มีนักคิดหลายให้คำจำกัดความหลากหลาย เพื่อความเข้าใจตรงกัน ขอนำเสนอพอเป็นสังเขปดงต่อไปนี้

เบอเรลสัน “การวิเคราะห์เนื้อหาเป็นเทคนิคการวิจัยอย่างหนึ่ง เพื่ออธิบายเนื้อหาสาระ  ของการสื่อสารอย่างมีหลักเกณฑ์มีระบบและสามารถอธิบายในเชิงปริมาณได้ด้วย”

คาร์เนย์ “วิธีการที่ใช้ในการศึกษาเนื้อหาของสาระอย่างมีหลักเกณฑ์ และกำหนดขั้นตอนไว้อย่างมีระบบ

โฮลสติ  “เป็นการประมวลข้อสนเทศอย่างหนึ่งเพื่อถ่ายทอดเนื้อหาสาระของการสื่อความหมาย ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และกฎเกณฑ์ อย่างมีระบบซึ่งสามารถสรุปผลและเปรียบเทียบได้

อรจรีย์  ณ ตะกั่วทุ่ง  “เป็นวิธีการแยกแยะแจกแจงเนื้อหาหรือแนวคิดที่ปรากฏในเอกสาร ข่าวสาร คำพูด หรือภาพ ทำให้ทราบโครงสร้างและขอบเขตเนื้อหาอย่างละเอียด”

          2.2 ประวัติการใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา ยุคแรกของการวิเคราะห์เนื้อหา คือในช่วงปี  พ.ศ. 2473 (ค.ศ.1930) โดยนักศึกษาวิชาหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย(School of Journalism,Columbia University) ได้ทำการวิเคราะห์เนื้อหาหนังสือพิมพ์อเมริกันซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอ่านกันอย่างแพร่หลายในขณะนั้น เพื่อศึกษาความสนใจในเนื้อหาด้านต่างๆ ต่อมาได้เกิดพัฒนาการรุดหน้าไปมาก โดย ฮาโรล           ดีลาสเวลล์และผู้ร่วมงาน ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้คำแนะนำหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาหลายแห่ง เช่น รัฐสภาอเมริกัน ได้ตั้งหน่วยงานทำหน้าที่ศึกษาวิจัยสื่อ เกี่ยวกับการสื่อสารในระหว่างสงคราม จากหนังสือพิมพ์ที่สำคัญๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความสนใจส่วนใหญ่ในขณะนั้น โดยใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา

          2.3 วิธีวิเคราะห์เนื้อหา จากประวัติการเกิดการวิเคราะห์เนื้อหาจากแหล่งข้อมูลเอกสารสิ่งพิมพ์ ที่อเมริกา เป็นการย้ำว่า การวิเคราะห์เนื้อหา เป็นวิธีที่นักวิจัยใช้พิจารณาการติดต่อสื่อสารทางสังคมของมนุษย์ ทั้งประเภทที่มีการเขียนเป็นเอกสาร(documentary Communication) หรือ ประเภทการติดต่อสื่อสารแบบใช้ถ้อยคำภาษา (Verbal Communication)  ซึ่งมันเป็นคำนิยามกว้างๆ

การวิเคราะห์เนื้อหา จึงเป็นเทคนิคการสรุปผลอย่างเป็นระบบ ใช้สิ่งที่ถ่ายทอดไว้มาให้ความหมายลักษณะพิเศษของสาร(messages) จากสิ่งที่เห็นภาพได้ เช่น ภาพถ่าย  วิดีโอเทป หรือสิ่งอื่นๆ   อันสามารถทำเป็นบริบทที่ยอมรับได้ในการวิเคราะห์เนื้อหา

Holsti  อธิบายกระบวนการวิเคราะห์เนื้อหา(Content analysis) ไว้ว่า การนำเนื้อหามารวมหรือแยกเนื้อหาออกไปเป็นการกระทำเพื่อปรับใช้กับเกณฑ์การคัดสรร หรือเพื่อต้องการที่จะแยกแยะการวิเคราะห์เฉพาะวัตถุดิบ(material) ที่สนับสนุนการพิสูจน์สมมติฐานของนักวิจัย และเพื่อความเข้าใจกระจ่างแจ้ง

ผู้เขียนจะได้แยกวิธีการ และกระบวนการวิเคราะห์เนื้อหาออกเป็นประเด็นสำคัญ ดังนี้

              2.3.1 องค์ประกอบของการวิเคราะห์เนื้อหา มีอยู่ 3 ประการ คือ

    1) เนื้อหาที่จะวิเคราะห์ เนื้อหาในที่นี้อาจเป็นข้อความในตำรา หนังสือเอกสาร สื่อสิ่งพิมพ์ บทสนทนา รูปภาพ ภาพในสไลด์ เป็นต้น

    2) วัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ โดยทั่วไปในการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อหาความหมาย ตีความ เปรียบเทียบ  ประเมินผลกระทบ หรือการแสวงหารูปแบบใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งเนื้อหาทำให้ทราบโครงสร้าง และลำดับของเนื้อหา

    3) หน่วยในการวิเคราะห์ เพื่อใช้แสดงปริมาณของการวิเคราะห์ มักวิเคราะห์ออกมาเป็นหัวเรื่อง หัวเรื่องย่อย หัวข้อย่อย รวมทั้งปริมาณ เช่น จำนวนแนวคิด จำนวนคำ จำนวนข้อความ เป็นต้น

      2.3.2 ขั้นตอนการวิเคราะห์เนื้อหา การวิเคราะห์เนื้อหามีขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้ [6]

              1) ผู้วิจัยจะต้องตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นสำหรับคัดเลือกเอกสาร  และหัวข้อที่จะทำการวิเคราะห์ ศึกษาเนื้อหาสาระจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ได้เนื้อหาครบถ้วน และไม่ ซ้ำซ้อน

              2) ผู้วิจัยจะต้องวางเค้าโครงของข้อมูล โดยการทำรายชื่อ หรือข้อความที่จะถูกนำมาวิเคราะห์แล้วแบ่งไว้เป็นประเภท (Categories) และ ศึกษาวัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อให้ทราบขอบเขตเนื้อหาและเรื่องที่ต้องการทำวิจัย

              3) ผู้วิจัยจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์คำนึงถึงบริบท(Context) หรือสภาพแวดล้อมประกอบของข้อมูลเอกสารที่นำมาวิเคราะห์ เพื่อแยกแยะรายละเอียดของ เนื้อหา จัดลำดับเนื้อหาเพื่อให้ทราบความสัมพันธ์ของเนื้อหา เช่น ใครเป็นผู้เขียน เขียนให้ใครอ่าน ช่วงเวลาที่เขียนเป็นอย่างไร เพื่อให้การวิเคราะห์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีการบรรยายคุณลักษณะเฉพาะของเนื้อหาโดยไม่โยงไปสู่ลักษณะของเอกสาร ผู้ส่งสารและผู้รับ

                        4) ทำการวิเคราะห์เนื้อหาทั้งหมด  โดยทำตามเนื้อหาที่ปรากฏ (Manifest Content) ในเอกสารมากกว่ากระทำกับเนื้อหาที่ซ่อนอยู่ (Latent Content) การวัดความถี่ของคำหรือข้อความในเอกสารเป็นการวัดความถี่ของคำหรือข้อความที่ปรากฏอยู่ แต่ผู้วิจัยไม่ตีความคำหรือข้อความเหล่านั้น การตีความจะทำเฉพาะตอนที่สรุปเท่านั้น

    5) การวัดความถี่ของการใช้ หรือการวิเคราะห์เชิงปริมาณ แล้วให้ได้คำตอบที่มีความหมายสัญลักษณ์กับสิ่งที่ต้องการค้นหา ซึ่งวิธีการนี้อาจจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนแต่ไร้ความหมาย

                2.3.4 กิจกรรมการวิเคราะห์เนื้อหา ควรใส่ใจกิจกรรมหลักๆ ดังต่อไปนี้

                        1) ข้อมูลจะถูกรวบรวมและนำมาทำเป็นเนื้อหาหรือบริบท เช่น การจดบันทึกภาคสนาม   การสรุปย่อ เป็นต้น

                        2) รหัสต่างๆ ถูกพัฒนาสู่การวิเคราะห์ หรือ ถูกให้คำนิยามไว้ในข้อมูล และถูกทำให้เหมาะสมเพื่อการบันทึกหรือสรุปย่อในกระดาษ

                        3) รหัสต่างๆ จะถูกแปลงไปอยู่ในรูปป้ายหรือฉลากของการกำหนดกลุ่มเนื้อหา(categories) หรือแก่นของเรื่อง

                        4) วัตถุดิบหรือข้อมูล ถูกคัดเลือกโดยการกำหนดกลุ่มเนื้อหา คำจำกัดความที่คล้ายกัน   แบบแผน    ความสัมพันธ์  และความเป็นสาธารณะทั่วไปหรือความแตกต่างกัน

                        5) การเลือกวัตถุดิบหรือข้อมูล  ถูกพิจารณาแยกจากรูปแบบของความหมาย และกระบวนการต่าง ๆ

                        6) การนิยามรูปแบบจะถูกพิจารณาอย่างชัดเจนก่อนทำการวิจัยทฤษฎีต่างๆ  ตลอดจนกำหนดความเป็นลักษณะทั่วไป(generalizations)

3. การวิเคราะห์เนื้อหาทางปรัชญา

          ในการวิเคราะห์เนื้อหาการวิจัยทางปรัชญานั้น ผู้วิจัยต้องวิเคราะห์ตามกรอบของวัตถุประสงค์ ว่า จะอธิบาย ขยายความ ตีความ หาแก่นหรือหลักการเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับบริบทสังคม หรือการพัฒนาวิชาการได้หรือไม่ อย่างไร ขอยกตัวอย่างการวิเคราะห์เนื้อหาของการวิจัยทางปรัชญา 2เรื่อง ดังนี้

          3.1 วิทยานิพนธ์เรื่อง “ศึกษาวิเคราะห์ปรัชญาชีวิตไทยในกวีนิพนธ์กรุงรัตนโกสินทร์” ของ พระมหาเทอด ญาณวชิโร(วงศ์ชะอุ่ม)  วิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต(สาขาปรัชญา) 2545. [7]

          วิทยานิพนธ์นี้มุ่งแสดงภาพรวมแนวคิดเชิงปรัชญาที่คนไทยแสดงออกผ่าน งานกวีนิพนธ์ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เริ่มต้นแต่รัชกาลที่ 1-รัชกาลที่ 3 ในการศึกษาได้กำหนดลักษณะพื้นฐานแนวคิดของคนไทยไว้ 4 ลักษณะ คือ (1) ปรัชญาชีวิตไทยมีลักษณะเป็นวิญญาณนิยม (2) ปรัชญาชีวิตไทยมีลักษณะเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ขวัญและลางสังหรณ์ (3) ปรัชญาชีวิตไทยเกิดจากอิทธิพลทางศาสนา และ (4) ปรัชญาชีวิตไทยเน้นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
          ลักษณะพื้นฐานแนวคิดทั้ง 4 ประการนี้เป็นรากฐานที่สำคัญยิ่งต่อการสร้างแนวคิดเชิงปรัชญาของไทย ปรากฏอยู่ในวรรณคดีทั่วๆ ไป ทั้งวรรณคดีมุขปาฐะและวรรณคดีลายลักษณ์ สำหรับกวีนิพนธ์เป็นส่วนหนึ่งของวรรณคดีลายลักษณ์ เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในสังคมกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีพันธกิจหลักในการตอบสนองความต้องการด้านสุนทรียะมีสถานะเป็นเครื่องมือ บันทึกความรู้สำนึกคิดที่มนุษย์มีต่อชีวิต สังคม และสรรพสิ่ง เชื่อมโยงครอบคลุมมิติทางความคิดระบบต่างๆ ไว้ทุกด้าน พิจารณาความสืบเนื่องทางด้านแนวคิดกวีนิพนธ์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สืบต่อแนวคิดมาจากกวีนิพนธ์สมัยกรุงศรีอยุธยาหากก่อตัวขึ้นใหม่ในบริบทแห่ง การฟื้นฟูสังคมกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ในงานวิจัยนี้ได้ศึกษาถึงเนื้อหาที่กวีนิพนธ์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นสืบ ต่อมาจากกรุงศรีอยุธยา โดยพิจารณาจาก 3 ประการ ดังนี้ (1) รูปแบบกวีนิพนธ์ ได้แก่ รูปแบบทางการประพันธ์ที่กวีกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นประพันธ์ขึ้น โดยยึดกรอบแห่งฉันทลักษณ์อย่างเคร่งครัดตามแบบอย่างกวีกรุงศรีอยุธยา (2) เนื้อหากวีนิพนธ์ ได้แก่ เนื้องานกวีนิพนธ์ในยุคนี้มักดำเนินตามเนื้อเรื่องชาดกเป็นหลัก ตามขนบการประพันธ์ของกวีสมัยกรุงศรีอยุธยา และ (3) แนวคิดกวีนิพนธ์ ได้แก่ การสอดแทรกแนวคิด ทัศนคติ อุดมคติของกวีในเนื้อหาหรือคำพูดของตัวละคร ตลอดจนการวิพากษ์วิจารณ์สังคมและสรรพสิ่งตามที่กวีต้องการนำเสนอ
          จากการวิจัยพบว่า บรรยากาศการแสวงหาแนวคิดเชิงปรัชญาของคนไทยเป็นกิจกรรมทางด้านความรู้สึกนึก คิดที่คนไทยใช้เป็นเครื่องมือสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินในการดำเนินชีวิต มิใช่กิจกรรมสำหรับเสาะแสวงหาเป้าหมายของชีวิตและสัจจะในสรรพสิ่ง ส่วนการแสวงหาเป้าหมายของชีวิตคนไทยอาศัยศาสนาเป็นหลัก การแสวงหาแนวคิดเชิงปรัชญาเป็นกิจกรรมซึ่งคนไทยกระทำควบคู่ไปกับกิจกรรม อื่นๆ ทางสังคมสำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องด้วยความเชื่อเรื่องวิญญาณเป็นพื้นฐาน ที่สำคัญต่อแนวคิดแบบจิตนิยม หากพิจารณาในแง่พัฒนาการ แนวคิดแบบจิตนิยมในสังคมไทยถึงขีดสูงสุดด้วยการแยกขวัญออกเป็นส่วนหนึ่งจาก จิต แล้วอธิบายว่า ขวัญ เป็นสารัตถะของจิต ส่วนแนวคิดเชิงจักรวาลวิทยา คติความเชื่อเกี่ยวกับโชคลาง เคราะห์กรรมเป็นพลังเร้นลับที่มีส่วนสัมพันธ์กับระเบียบบนท้องฟ้าและควบคุม ความเป็นไปของจักรวาล ทำให้วิถีการโคจรของเทหะบนท้องฟ้ามีอิทธิพลต่อการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง สำหรับการประพฤติปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องด้วยหลักศาสนามีส่วนสำคัญในการกำหนด แนวคิดด้านญาณวิทยาและจริยศาสตร์ เนื้อหาด้านญาณวิทยา ความรู้ที่นับว่าประเสริฐสำหรับปุถุชนคือความรู้เพื่อการดำรงชีพ ความรู้นอกนั้นถือว่าไร้แก่นสาร เนื้อหาด้านจริยศาสตร์มุ่งตัดสินคุณค่าของคนว่าดีหรือไม่ด้วยคำนินทาส่วน เนื้อหาทางด้านสุนทรียศาสตร์นั้นเน้นการสร้างความงาม มากกว่าการรู้จักหรือการทำความเข้าใจความงาม
          แนวคิดเหล่านี้กระจัดกระจายอยู่ในรูปแบบกิจกรรมต่างๆ ทางสังคมไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางศาสนา การประกอบอาชีพ บทเพลง การละเล่น การเมืองการปกครองวัฒนธรรมประเพณี ตลอดถึงกิจกรรมการสร้างงานวรรณคดีทั้งในรูปแบบวรรณคดีมุขปาฐะและวรรณคดีลาย ลักษณ์ กวีนิพนธ์ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของวรรณคดีจึงจำเป็นต้องอาศัยการศึกษา วิเคราะห์อย่างกว้างขวาง เพื่อสกัดเอาเนื้อแท้ของแนวคิดออกมา อันจะเป็นประโยชน์ต่อบรรยากาศการศึกษาแนวคิดเชิงปรัชญาของไทยต่อไป

           3.2 รายงานการวิจัย เรื่อง “แนวคิดเชิงปรัชญากับการสร้างพระพุทธรูป ; ทัศนคติที่มีต่อการบูชาพระพุทธรูปในสังคมไทย”[8] ของญาณภัทร ยอดแก้ว อาจารย์ประจำโปรแกรมวิชาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม, 2552.

          ความแตกต่างกันของพระพุทธรูปในยุคสมัยและสังคมที่แตกต่างกัน  สะท้อนให้เห็นแนวความคิดในการสร้างที่มีที่มาที่ไปอันละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง การสร้างพระพุทธรูปจึงมิใช่เป็นเพียงการสร้างรูปเหมือนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น  แต่ยังมีนัยอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีก  อาทิ  ความจริง ความดี และความงาม   ซึ่งเป็นแนวความคิดที่แฝงอยู่กับการสร้างพระพุทธรูปและก่อให้เกิดคุณค่าอย่างยิ่งต่อปัจเจกบุคคล สังคมและพระพุทธศาสนา  การศึกษาและอธิบายแนวคิดการสร้างพระพุทธรูปนั้น  อาจอาศัยแนวคิดเชิงปรัชญามาเป็นแนวทางได้  เพราะปรัชญามีเนื้อหาที่ครอบคลุมถึงเรื่องแนวคิดดังกล่าว  ซึ่งผู้วิจัยได้นำเสนอเป็นลำดับ คือ

          กรอบความคิดที่เป็นฐานทฤษฎี คือ สาขาของปรัชญา 4 สาขา ทั้งนี้  เมื่อพิจารณาถึงความชัดเจนในเนื้อหาสาระของปรัชญาแต่ ละสาขาจะพบว่าสาขาที่มีความเกี่ยวข้องกับแนวคิดการสร้างพระพุทธรูปโดยตรงน่า จะเป็นคุณวิทยา(Axiology) โดยเฉพาะเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับจริยศาสตร์ (Ethics)และสุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เพราะแนวคิดการสร้างพระพุทธรูปตลอดถึงการบูชาพระพุทธรูปมีความเกี่ยว ข้องอย่างชัดเจนกับเรื่องความดีหรือจริยธรรมและความงามหรือสุนทรียภาพอัน เป็นสาระสำคัญในจริยศาสตร์และสุนทรียศาสตร์ ดังที่วิบูลย์  ลี้สุวรรณ กล่าวไว้ว่า “ เป้าหมายของการสร้างศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนานั้น ต่างไปจากการสร้าง    ศิลปะประเภทอื่นเพราะมีเป้าหมายที่แน่นอนอยู่ที่การศิลปกรรมเพื่อรับใช้ศาสนา    ดังนั้นเนื้อหาของศาสนศิลป์จึงเน้นที่  ความดีและความงามเพื่อให้ผู้พบเห็นได้รับ  ความรู้สึกนึกคิดบนพื้นฐานที่เป็นปรัชญาของศาสนาแต่ละศาสนา” จากนัยนี้  พระพุทธรูปในฐานะเป็นศิลปะทางศาสนาจึงไม่พ้นที่จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับความดีอันเป็นประเด็นที่อยู่ในขอบข่ายของจริยศาสตร์  และความงามซึ่งอยู่ในขอบข่ายของสุนทรียศาสตร์

การสร้างพระพุทธรูปเป็นการแสดงออกถึงความระลึกถึงพระพุทธเจ้า  แต่ด้วยพระพุทธเจ้าไม่ได้ดำรงพระชนม์อยู่แล้ว  การจะเข้าเฝ้า  กราบไหว้ บูชาพระองค์จริงของพระพุทธเจ้าจึงไม่อาจกระทำได้  ด้วยเหตุนี้จึงมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้น เพื่อเป็นที่สักการะบูชาแทนพระพุทธเจ้า  ซึ่งตามหลักการทางพระพุทธศาสนา การเคารพบูชาพระพุทธเจ้าถือเป็นหลักธรรมสำคัญใน คารวธรรม 6 ประการ  ได้แก่ สัตถุคารวตา  การแสดงความเคารพต่อพระศาสดา คือ พระพุทธเจ้า

          ผลสำคัญของการสร้างพระพุทธรูป คือ ทำให้ชาวพุทธมีสัญลักษณ์เตือนใจให้ได้เจริญพุทธานุสสติ คือ  การตรึกระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระคุณธรรมต่างๆของพระองค์  เช่น ทรงเป็นผู้ตรัสรู้แล้วละกิเลสได้  เรียกว่า อรหํแปลว่าผู้ไกลจากกิเลิศทั้งมวล หรือ พุทโธหรือแปลทับศัพท์ว่าพระพุทธเจ้า”  ทรงมีความเพียบพร้อมไปด้วยวิชชาและจรณะ  ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันล้ำเลิศ  และทรงมีพระเมตตาและเกื้อกูลประโยชน์สุขต่อมนุษยชาติและสัตว์โลกทั้งปวง  กล่าวคือ  ทรงเป็นผู้เปี่ยมล้นด้วยพระพุทธคุณโดยย่อที่สุด 3 ประการ ได้แก่ 1) พระบริสุทธิคุณ ที่ทรงพ้นแล้วจากห้วงทุกข์ทั้งปวงเป็นแม่แบบที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงของมวลมนุษยชาติ 2) พระปัญญาธิคุณ ที่ทรงตรัสรู้ความจริงอันประเสริฐ แล้วนำมาเปิดเผยแก่ชาวโลกให้รู้ตาม 3) พระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงเมตตาช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์

         การได้ระลึกถึงพุทธคุณเหล่านี้  นำมาซึ่งความปีติหรือความอิ่มใจ เพราะความซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์  ซึ่งนอกจากเป็นเครื่องระลึกถึงเมื่อได้สักการะบูชาแล้ว  ยังสามารถนำมาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนได้ด้วย  การสร้างพระพุทธรูปจึงก่อให้เกิดคุณค่าทางการปฏิบัติซึ่งหมายถึงการส่งเสริมจริยธรรมของผู้คนในสังคมไปโดยปริยาย  พระพุทธรูปจึงไม่เป็นแต่เพียงศิลปกรรมประเพณี  อันเป็นผลงานสร้างสรรค์ทางด้านปฏิมากรรมที่ทรงคุณค่าของพระพุทธศาสนาเท่านั้น  แต่พระพุทธรูปยังเป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธปรัชญา เป็นเครื่องหมายของความเคารพ บูชา สักการะและเป็นเครื่องเตือนให้ประกอบความดีอีกด้วย    

การสร้างพระพุทธรูปเป็นการถ่ายทอดแนวคิดและจินตนาการที่สะท้อนถึงความศรัทธา ที่มีต่อพระพุทธเจ้ามาเป็นองค์แทนของพระองค์ในลักษณะของงานศิลปะ  ซึ่งนอกจากจะสื่อถึงความดีแล้ว  ยังแสดงให้เห็นถึงความประสานสอดคล้องกันระหว่างปรัชญาพุทธศาสนาและปรัชญาศิลปะ จนก่อให้เกิดความงามที่มีคุณค่าทางสุนทรียภาพอย่างสูง   ดังที่ศาสตราจารย์ศิลป  พีระศรี  ได้กล่าวถึงพระพุทธรูปปางลีลา  ซึ่งช่างสุโขทัยนิยมสร้างกันเป็นพิเศษว่า

          ในการมองดูพระพุทธรูป(ปางลีลา) ที่สวยงามแบบนี้รูปหนึ่ง  เราจะรู้สึกว่ารูปนั้น กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างแช่มช้อย มีนิ้วพระหัตถ์ทำท่าอย่างสุภาพเป็น เครื่องหมายแสดงถึงพระธรรมจักร คือ พระอริยาบถของพระพุทธองค์ขณะทรงดำเนินไปประกาศพระศาสนาของพระองค์ พระวรกายมีทรวดทรงอ่อนช้อยอย่างสวยงาม เพราะเหตุว่าในขณะที่พระองค์กำลังเบือนไปทางด้านหนึ่งตามลักษณะการเคลื่อนที่ของพระชงฆ์นั้น พระกรก็จะห้อยลงมาอย่างได้จังหวะตามลักษณะที่อ่อนโค้ง พระเศียรมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูมและพระศอซึ่งผายออกเบื้องล่างก็ตั้งอยู่บนพระอังสาอย่างได้สัดส่วน  ความงดงามของพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นนั้น นอกจากจะเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ภายนอกเช่นนี้แล้ว  ยังสามารถสื่อถึงพระพุทธจริยาของพระองค์ตามตำราหรือคัมภีร์ทางพุทธศาสนาที่ได้อธิบายไว้ด้วย  โดยเฉพาะตำรามหาบุรุษลักษณะที่แสดงถึงลักษณะพิเศษของพระพุทธเจ้า  32 ประการ ถือว่ามีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการสร้างพระพุทธรูปตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน

สรุปได้ว่า  ตามแนวคิดเชิงปรัชญาการสร้างพระพุทธรูปเป็นการถ่ายทอดความดีตามแนวทางของจริยศาสตร์และความงดงามตามแนวทางของสุนทรียศาสตร์  ผ่านวัตถุที่เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งอาจมีความเกี่ยวเนื่องไปถึงแนวคิดเชิงปรัชญาในส่วนอื่น ๆ ด้วย   แต่การเข้าถึงหรือการเข้าใจแนวคิดนั้น ๆ  ย่อมขึ้นอยู่กับพื้นฐานของปัจเจกชนแต่ละคนว่าจะเข้าถึงในระดับใดและมากน้อยเพียงใด 

 4. การวิเคราะห์เนื้อหาทางศาสนา

          ในการวิเคราะห์เนื้อหาการวิจัยทางศาสนานั้น ผู้วิจัยต้องวิเคราะห์ตามกรอบของวัตถุประสงค์ ว่า จะอธิบาย ตีความ หาแก่นหรือหลักการเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับบริบทสังคม หรือการพัฒนาวิชาการได้หรือไม่ อย่างไร  ขอยกตัวอย่างการวิเคราะห์เนื้อหาของการวิจัยทางศาสนา 2 เรื่อง ดังต่อไปนี้

4.1 การวิจัยเรื่อง “การศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาของร่างทรง : กรณีศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” ของพระเฑียรวิทย์ อตฺตสนฺโต(โอชาวัฒน์)[9] มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับร่างทรง, เพื่อวิเคราะห์หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการทรงเจ้า, เพื่อศึกษาการประยุกต์หลักพุทธธรรมในการประกอบพิธีกรรมของร่างทรง, เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างร่างทรงกับพระรัตนตรัย และเพื่อศึกษาอิทธิพลของร่างทรงที่มีต่อสังคมไทย

ในการศึกษาวิจัยเพื่อตอบวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ประการนั้น มี 2 วิธีการ คือ 1. การวิจัยภาคเอกสาร เป็นการวิจัยโดยศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับร่างทรง จากเอกสาร หลักฐาน ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ พระไตรปิฎก/อรรถกถา และข้อเขียนทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง/นิตยสาร/วารสาร/สงพิมพ์ต่างๆ / อินเทอร์เนต

2. การวิจัยภาคสนาม โดยใช้วิธีการเข้ามีส่วนร่วม และสังเกตการณ์ (Participant - Observation) ในพิธีกรรมที่ร่างทรงจัดขึ้น เช่นงานไหว้ครูประจำปี การเข้าทรงประจำวัน การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก โดยใช้เครื่องมือ คือ เครื่องบันทึกเสียง กล้องถ่ายรูป สมุดบันทึกย่อย(Field note) สมุดบันทึกหลัก (Camp note) โดยสัมภาษณ์ร่างทรงจำนวน 16 คน ประเด็นการสัมภาษณ์ประกอบด้วย สาเหตุที่มาเป็นร่างทรง พิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ลักษณะ/ สถานที่/ ความถี่ในการทำบุญกุศล แนวทาง/ วิธีการปฏิบัติธรรมประเภทเจ้าเข้าทรง จุดมุ่งหมายในชีวิต ปัญหา/ อุปสรรคที่ต้องการแก้ไข ประเภทการให้บริการกิจกรรมทางสังคมและพระพุทธศาสนา และการแจกแบบสอบถาม เพื่อรวบรวมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสถานภาพทางสังคม และเศรษฐกิจ ความเชื่อความคิดเห็น และประเภทการใช้บริการ ของผู้มารับบริการ (ลูกศิษย์/ลูกค้า) ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) จำนวน 95 คน และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม SPSS for Windows version 11 คำนวณหาค่าความถี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที (t – test)

          การวิเคราะห์ข้อมูลจากเนื้อหา ผู้วิจัยได้อาศัยเอกสารเกี่ยวกับ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับร่างทรง ใช้แนวความคิดทางมานุษยวิทยา, สังคมวิทยา, จิตวิทยา รวมทั้งวิญญาณนิยมและลัทธิเจตนิยม เป็นแนวทางในการสร้างแบบสอบถาม เก็บข้อมูล และการวิเคราะห์เนื้อหา  (ในงานวิจัยบทที่ 2 ประวัติและพัฒนาการของร่างทรง ความหมายของร่างทรง ประเภทของร่างทรง ประเภทขององค์ความหมายของการทรงเจ้า/การเข้าทรง/เข้าผี ประเภทที่แสดงออกในการทรงเจ้า ประวัติของร่างทรง กระบวนการสู่การเป็นร่างทรง  การคงอยู่ของร่างทรง บทบาททางด้านบวก และด้านลบ เช่น ร่างทรง คือมนุษย์ธรรมดา ที่องค์เทพหรือเจ้าหรือผี จับเอาร่างเป็นทางผ่าน เพื่อจะสื่อสารและสัมผัสกับมนุษย์ได้ โดยพิธีการอัญเชิญ และต้องกระทำตัวให้อยู่ในกฎเกณฑ์ข้อบังคับ ข้อห้ามต่างๆ เช่น รักษาศีล มนุษย์ธรรมดานี้หมายถึงชายหรือหญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ ที่ถูกเลือกโดยเจ้าที่มาประทับทรงเพื่อประกอบพิธีกรรมต่างๆ โดยผู้ที่เป็นร่างทรงนั้นจะยอมเป็นร่างทรง ด้วยความเต็มใจหรือจำใจก็ตามจึงกล่าวได้ว่า ร่างทรงทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่เจ้าพ่อเจ้าแม่ต้องอาศัยติดต่อกัน หรือมีความสามารถในการติดต่อกับผีหรือวิญญาณได้ และจะเป็นร่างให้วิญญาณมาประทับทรง เป็นบุคคลซึ่งถูกควบคุมโดยวิญญาณหรือมีวิญญาณอยู่ในร่าง ถูกคนในสังคมใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารกับวิญญาณหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ) ในด้านหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการทรงเจ้า (บทที่ 3 ผู้วิจัยนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มาหลายหมวด เช่น ปฏิจจสมุปบาท  อุปาทาน 4 ศรัทธา4 โยนิ(กำเนิด) 4...กรรมและการเกิดใหม่ /สังสารวัฏ) แนวคิดเรื่องผี พระพุทธเจ้ากับผีสางเทวดา ; โลกวิญญาณ / โอปปาติกะ)  เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาตามหลักพุทธธรรมแล้ว ความเชื่อร่างทรงจัดอยู่ในกลุ่มอุปาทาน  4 ชนิด อัตตวาทุปาทาน และ สีลัพพตุปาทาน และเป็นเดรัจฉานวิชา แต่มีหลักธรรมหลายหมวดที่น่าจะส่งผลต่อแนวคิดเรื่องร่างทรง(วิญญาณนิยม) คือ เรื่องโอปปาติกะ(ในโยนิ 4), เรื่องเทพ/เทวดา(ในเทพ 3, ภูมิ 4, คติ 5), เรื่องสัตวโลก (ในโลก 3), เรื่องสังขารและวิญญาณ(ในขันธ์ 5) และเรื่องกรรมกับการเกิดใหม่(สังสารวัฏ) ที่ยืนยันถึงการมีอยู่จริงของ ปรโลก และสวรรค์ อันเป็นสาระหลักของความเชื่อเรื่องเทพเจ้าและพิธีทรงเจ้าเข้าผี ส่วนหลักธรรมที่ส่งผลต่อการประกอบพิธีกรรมนั้นประกอบด้วย หลักศรัทธา หลักกรรม หลักการบำเพ็ญบารมี ทำให้เกิดระบบของการเสียสละ ในรูปแบบต่างๆ ของผู้ปฏิบัติตามคำแนะนำของร่างทรง  ในด้านการประยุกต์หลักศรัทธา กรรม และการบำเพ็ญบารมี ในการประกอบพิธีกรรมของร่างทรงนั้น ไม่ได้แยกอย่างเด็ดขาดออกเป็นส่วน แต่จะมีความเกี่ยวเนื่องจนเป็นเนื้อเดียวกัน สำเร็จเป็นพิธีกรรมที่มีความแนบแน่นในแนวเดียวกัน เช่นในพิธีกรรมไหว้ครู ปรากฏชัดเจนถึงการนำหลักพุทธธรรมไปประยุกต์ใช้ในพิธีกรรม เป็นการ แสดงให้เห็นถึงหลักความเชื่อ ที่มีการระลึกถึงพระรัตนตรัย แต่มีลักษณะไสยศาสตร์แทรกปนอยู่ ส่วนเรื่อง  ร่างทรงกับพระรัตนตรัย มีความสัมพันธ์กันในภาวะแบบความเชื่อถือ น้อมรับมา และปรับใช้ให้เข้ากับการดำเนินชีวิตของตนเอง และสังคม ร่างทรงเป็นผู้ที่ทำหน้าที่เผยแผ่พระรัตนตรัย และเป็นผู้มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ได้รับประสบการณ์ตรง มีการแนะนำคนอื่น ให้ศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ซึ่งถูกยกไว้เป็นที่เคารพในระดับสูง

สุดท้าย อิทธิพลของร่างทรงที่มีต่อสังคมไทย ทางด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมืองการปกครอง พบว่าอยู่ในระดับปานกลาง ความเชื่อทางพระพุทธศาสนาของร่างทรงส่วนใหญ่คือ ความเชื่อเรื่องบุญ-บาป ความเชื่อเรื่องการปฏิบัติธรรม ความเชื่อในพระรัตนตรัย ความเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ และความเชื่อเรื่อง นิพพานตามลำดับ ความเชื่อเหล่านี้นำไปสู่พิธีกรรมตามบริบทของความเชื่อนั้นๆ พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาของร่างทรงที่ประกอบส่วนใหญ่คือ การสวดมนต์ ไหว้พระ รองลงมาคือ การรักษาศีล การปฏิบัติธรรม การทำบุญทอดกฐิน-ผ้าป่า สร้างพระพุทธรูป การเลี้ยงพระ ถวายสังฆทาน พรมน้ำมนต์ตามลำดับ

 

 

 

 

 

          4.2 การวิจัยทางศาสนาคริสต์ เรื่อง “การวิเคราะห์เนื้อหาจริยธรรมที่ปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์

ภาคพันธสัญญาเดิม หมวดบทกวีและวรรณกรรมปัญญา” ของ สมมาตร์ เสถียร บทความจากวิทยานิพนธ์[10]ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาจริยธรรมที่ปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม

หมวดบทกวีและวรรณกรรมปัญญา และเปรียบเทียบความสัมพันธ์สอดคล้องของจริยธรรมที่ปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม หมวดบทกวีและวรรณกรรมปัญญากับคุณธรรม 30 ประการที่กรมการศาสนากำหนด

วิธีการวิจัยทำโดยการใช้หัวข้อจริยธรรม 26 หัวข้อ ซึ่งคัดเลือกจากแหล่งที่มา 7 แห่ง มาเป็นประเด็นในการวิเคราะห์ โดยการอ่านพิจารณาเนื้อหาจริยธรรมที่ปรากฏในรูปของคำ วลี ประโยค ข้อความ บทบรรยายหรือบทบาทการแสดงของตัวละครในเรื่อง บันทึกข้อมูลลงในแบบวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ และค่าร้อยละ ผลการวิจัย พบว่า หนังสือที่มีเนื้อหาจริยธรรมปรากฏมากที่สุดคือ หนังสือสุภาษิต รองลงมาคือ หนังสือสดุดี ส่วนหนังสือเพลงซาโลมอนมีเนื้อหาจริยธรรมปรากฏน้อยที่สุด เนื้อหาจริยธรรมที่ปรากฏตามประเด็นวิเคราะห์มากที่สุดคือ ความยุติธรรม รองลงมาคือ ความมีวาจาสัตย์ และเนื้อหาจริยธรรมที่ปรากฏน้อยที่สุดคือ การประหยัดอดออม และความมีมนุษยสัมพันธ์ ความสอดคล้องของจริยธรรมที่ปรากฏใน พระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม หมวดบทกวีและวรรณกรรมปัญญากับคุณธรรม 30 ประการที่กรมศาสนากำหนดพบว่า โดยภาพรวมมีความสอดคล้องกัน

5. สรุป

          ในการวิเคราะห์เนื้อทางปรัชญา ก็ต้องอาศัยกรอบทฤษฎีทางปรัชญามาใช้อธิบายว่า สาระที่ได้จากข้อมูลนั้น มีส่วนใดบ้างที่ตรงกัน สอดคล้องกัน เกี่ยวเนื่องกัน สัมพันธ์กันกับทฤษฎีทางปรัชญา เช่นการสร้างพระพุทธรูป สอดคล้องกับทฤษฎีจริยศาสตร์ และเข้าได้กับสาขาสุนทรียศาสตร์ เป็นต้น แล้วสรุปสาระที่ได้มาเขียนรายงานผลการศึกษา

          สำหรับการวิเคราะห์เนื้อหาทางศาสนา ผู้วิจัยก็ต้องมีกรอบในการวิจัย เช่น หลักพุทธธรรม ในพระไตรปิฎก  หรือ หลักคริสตธรรม ศึกษาปรากฏการณ์ เช่น การเข้าทรง หรือ ค้นคว้าข้อมูลเอกสาร เช่น พระคริสตธรรมคัมภีร์ พันธสัญญาเก่า ก็ต้องนำหลักการทางศาสนาที่กล่าวมา วิเคราะห์ คัดกรองสาระที่เข้ากันได้อย่างไม่ผิดหลักการทางศาสนา นำเสนอตามวัตถุประสงค์และเขียนรายงานการวิจัยออกมา

ข้อคิดสุดท้าย ผู้วิจัยจะต้องแยกออกเป็นขั้นตอน เพื่อความสะดวกในการวิเคราะห์ และตรวจสอบ ซึ่งในการวิเคราะห์นั้น ผู้วิจัยจะต้องพยายามตอบคำถามว่าสิ่งที่วิเคราะห์นั้น มีรูปแบบอย่างไร เกิดขึ้นอย่างไร เพราะเหตุใด และจะมีผลกระทบต่อกิจกรรม สถานการณ์ หรือความสัมพันธ์นั้น ๆ ได้อย่างไร ซึ่งการตอบคำถามเหล่านั้นจะต้องอาศัยการเก็บข้อมูลหลายอย่าง หลายวิธี ผู้วิจัยเองจะต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง และรอบครอบ  ตามทัศนะของ  รศ.ดร. โยธิน แสวงดี [11]สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ในการวิเคราะห์และตีความต้องนำความรู้จากทฤษฎี วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนงานวิจัยที่ผ่านมา มาร่วมพิจารณาด้วยทุกครั้ง โดยต้องเขียนผสมผสานเข้าด้วยกันในลักษณะการอ้างอิงและระบุเชิงอรรถ เช่น ใช้คำว่า สอดคล้องกับ คล้ายกับ ขัดแย้งกับ ตอบโต้กับ ฯลฯ หากไม่มีการนำทฤษฎี วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องและงานวิจัยที่ผ่านมา มาร่วมบรรยายในลักษณะข้างต้น ผลการวิเคราะห์ในเชิงการบรรยายจะเหมือนกับเรื่องเล่า เป็นการบรรยายข้อมูลที่ขาดการวิเคราะห์และตีความรายงานจะไม่มีคุณค่า ดังนั้นวิธีการเขียนคือ เขียนโดยใช้สำนวนสารคดี แบบเล่าเรื่อง ที่นิยมนำปรากฏการณ์และหลักฐานมายืนยัน”

 

ข้อมูลอ้างอิง

ญาณภัทร ยอดแก้ว, รายงานการวิจัยเรื่อง “แนวคิดเชิงปรัชญากับการสร้างพระพุทธรูป ; ทัศนคติที่มีต่อการบูชาพระพุทธรูปในสังคมไทย” โปรแกรมวิชาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม, 2552.

แน่งน้อย  ย่านวารี, การวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยเชิงคุณภาพ, เอกสารเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต 2555.

พระเฑียรวิทย์ อตฺตสนฺโต (โอชาวัฒน์), วิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาของร่างทรง : กรณีศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” วิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชาพระพุทธศาสนา)  บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พุทธศักราช 2548.

พระมหาเทอด ญาณวชิโร (วงศ์ชะอุ่ม),  วิทยานิพนธ์เรื่อง “ศึกษาวิเคราะห์ปรัชญาชีวิตไทยในกวีนิพนธ์กรุงรัตนโกสินทร์,”  วิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต(สาขาปรัชญา) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2545.

พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์, การวิจัยทางปรัชญา/ศาสนา : หลักการ วิธีการ และเป้าหมาย, เอกสารการอบรม โครงการอบรมนักวิจัยภาคเหนือ รุ่น 1 / 2 วันที่ 12-13 มกราคม 2555.

พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์, เครื่องมือการวิจัยทางปรัชญาและศาสนา, เอกสารการอบรม โครงการอบรมนักวิจัยภาคเหนือ รุ่น 2 วันที่ 21-22 มีนาคม 2555.

โยธิน แสวงดี, การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis), สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล.

สมมาตร์ เสถียร, วิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกา สาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ลงใน วารสารบรรณศาสตร์ มศว ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554.

 Bruce L. Berg, Qualitative research method  For  the social sciences, บทที่ 11 แปลโดย ฟ้ารัตน์  สมแสน.

-----------------



[1] อาจารย์ ดร.พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์, รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม และอาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เรียบเรียงเพื่อโครงการอบรมนักวิจัยภาคเหนือ รุ่น 3 วันที่ 23-24 สิงหาคม 2555. ณ ห้องประชุม อาคารรวม บัณฑิตวิทยาลัย-สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

[2] พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์, การวิจัยทางปรัชญา/ศาสนา : หลักการ วิธีการ และเป้าหมาย, เอกสารการอบรมในโครงการอบรมนักวิจัยภาคเหนือ รุ่น 1 / 2 วันที่ 12-13 มกราคม 2555,หน้า 5.

[3] พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์, เครื่องมือการวิจัยทางปรัชญาและศาสนา, เอกสารการอบรมในโครงการอบรมนักวิจัยภาคเหนือ รุ่น 2 วันที่ 21-22 มีนาคม 2555, หน้า 7.

 

[4] พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์, เรื่องเดียวกัน, หน้า 10.

   [5] Bruce L. Berg, Qualitative research method  For  the social sciences, บทที่ 11 แปลโดย ฟ้ารัตน์  สมแสน.

                                                        

 

[6] แน่งน้อย  ย่านวารี, การวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยเชิงคุณภาพ,

 

[7] พระมหาเทอด ญาณวชิโร (วงศ์ชะอุ่ม),  วิทยานิพนธ์เรื่อง “ศึกษาวิเคราะห์ปรัชญาชีวิตไทยในกวีนิพนธ์กรุงรัตนโกสินทร์,”  วิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต(สาขาปรัชญา) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2545.

[8] ญาณภัทร ยอดแก้ว, รายงานการวิจัยเรื่อง “แนวคิดเชิงปรัชญากับการสร้างพระพุทธรูป ; ทัศนคติที่มีต่อการบูชาพระพุทธรูปในสังคมไทย” โปรแกรมวิชาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม, 2552.

[9] พระเฑียรวิทย์ อตฺตสนฺโต(โอชาวัฒน์), วิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาของร่างทรง : กรณีศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” วิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา  บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พุทธศักราช 2548.

[10] สมมาตร์ เสถียร, วิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกา สาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ลงใน วารสารบรรณศาสตร์ มศว ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554, หน้า 68.

[11] รศ.ดร. โยธิน แสวงดี, การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis), สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น