การวิจัยทางปรัชญา/ศาสนา
: หลักการ วิธีการ และเป้าหมาย
พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์ [1]
-----------
1.
ความนำ
การที่จะกล่าวถึงการวิจัยทางปรัชญา ขอให้พิจารณาถึงกรอบความคิดที่ว่าด้วยวิชาปรัชญาก่อน
เคยได้ยินการสนทนากันเล่นๆในวงเสวนาว่า
ใครก็ตามที่พูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรที่ผู้ฟังต้องขบคิด
และตีความหมายออกมา เช่น ประโยคที่ว่า
“จงอย่าทำตนตามกระแส หรือทวนกระแสของสังคม แต่จงทำตนให้อยู่เหนือกระแส”
หรือประโยคที่ว่า “ถ้ารู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ แล้ว อีกหลายอย่างก็จะรู้ได้” และ
ฯลฯ ก็จะถูกตัดพ้อว่า
อย่าพูดเป็นปรัชญาเลย เพราะฟังไม่เข้าใจ นั่นคือการเข้าใจ ปรัชญาที่ยังไม่ถูกต้อง
1.1 ปรัชญา คือ อะไร
ความหมายตามรูปศัพท์
“ปรัชญา”
แปลว่า
ความรู้อันประเสริฐ ความรู้ที่ดีเลิศ ความรู้อันสูงสุด ความรู้รอบ ความรู้ทั่ว
หรือความเปรื่องปราด ความหมายตามรากศัพท์ภาษาไทย
พระเจ้าวรวงค์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ บัญญัติศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า ปฺร
แปลว่า สูงสุด หรือ ประเสริฐ และ ชญา แปลว่า รู้ รวมความแล้วหมายถึง
ความรู้อันสูงสุด พระองค์ทรงบัญญัติศัพท์ มาจาก“Philosophy” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมาจากภาษากรีกโบราณคือ
“Philosophia”("philos"+"sophia") “philos” แปลว่า ความรัก, ความชอบ,ความสนใจ,ศรัทธา หรือความเลื่อมใส “Sophia”แปลว่า ความรู้,
ความฉลาด,สติปัญญา, ความเป็นปราชญ์
หรือความเปรื่องปราด ดังนั้น “Philosophy” จึงแปลว่า ความรักความสนใจในความรู้
ความสนใจในความฉลาด หรือความชอบ ความใฝ่ใจในการแสวงหาความรู้ ความรักในการศึกษาเล่าเรียน
อยากฉลาด อยากเป็นนักปราชญ์ อยากเป็นบัณฑิต
ความหมายของ “ปรัชญา” ตามคำกล่าวของนักปราชญ์
นักปราชญ์ทั้งหลายให้ความหมายของปรัชญาในด้านต่างๆ
ซึ่งก็สื่อให้รู้ว่า ปรัชญาหมายความว่าอย่างไร ดังได้เสนอต่อไปนี้
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
2525
ให้ความหมายว่า
“ปรัชญาเป็นวิชาว่าด้วยหลักความรู้และความจริง”
เพลโต นักปรัชญากรีก
กล่าวว่า “ปรัชญาหมายถึงการศึกษาหาความรู้เรื่องสิ่งนิรันดรและธรรมชาติแท้จริงของ
สิ่งทั้งหลาย”
อริสโตเติล กล่าวว่า
“ปรัชญาคือศาสตร์ที่สืบค้นถึงธรรมชาติของสิ่งที่มีอยู่โดยตัวเอง
ตลอดจนคุณลักษณะตามธรรมชาติของสิ่งนั้น”
โอกัส กองต์ กล่าวว่า
“ปรัชญาคือศาสตร์ของศาสตร์ทั้งหลาย (Science of Science)”
วุนต์ กล่าว ว่า
“ปรัชญา คือการรวบรวมความรู้ที่ได้จากวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆมาไว้ในที่เดียวกัน”
เสฐียร พันธรังษี กล่าว ว่า
“ปรัชญา ได้แก่หลักฐานแห่งความรู้ ,หลักวิทยาการหรือหลักประพฤติปฏิบัติ
หรือหมายถึงความเชื่ออันใดอันหนึ่ง เป็นความรู้ความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือเทพเจ้าใดๆ”
หลวง วิจิตรวาทการ กล่าวว่า
“ปรัชญา หมายถึงหลักความดีที่สามารถสอนกันเองได้ คิดค้นมาใหม่ได้ ซึ่งมีจดจารึกกันไว้เพื่อศึกษากันต่อมา
ไม่เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ไม่ได้มาจากเทพเจ้า หรือสวรรค์ชั้นใด”
ถ้าจะอธิบายว่า ปรัชญา
คือ ประมวลความคิดเห็นของมนุษย์เกี่ยวกับความเป็นจริงต่างๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ
ซึ่งศึกษาค้นคว้าเพื่อตอบคำถาม 3 ประการ คือ 1.ความเป็นจริงคืออะไร
2. เรารู้ความจริงได้อย่างไร 3. เราพึงปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับความเป็นจริงที่พบ
ดังนั้น ปรัชญา เป็นแนวคิดด้วยเหตุและผล(ทฤษฎี) เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในเรื่องต่างๆ
1.2 ประเภทและสาขาของปรัชญา
ประเภทของปรัชญา แบ่งเป็น 2ประเภทใหญ่ คือ
1) ปรัชญาบริสุทธ์ และ
2) ปรัชญาประยุกต์
1) ปรัชญาบริสุทธิ์มี 5 สาขา
คือ
(1) อภิปรัชญา คือ
สาขาที่ว่าด้วยการค้นหาคำตอบเกี่ยวกับความจริงสูงสุด
ก. วัตถุนิยม
เป็นกลุ่มที่เชื่อว่าความจริงสูงสุด คือ สสาร หรือพลังงาน
ข. จิตนิยม
เป็นกลุ่มที่เชื่อว่า ความจริงสูงสุด คือ จิต สสารเป็นผลมาจากจิต
ค. ทวินิยม
เป็นกลุ่มที่เชื่อว่า ความจริงสูงสุดมีทั้งในสสารและจิต
อภิปรัชญายังสามารถแบ่งโดยทั่วไปได้เป็น
ก. ภาวะวิทยา คือ
ศึกษาเกี่ยวกับความจริงสากล ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ข. เทววิทยา คือ
ศึกษาเกี่ยวกับพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับจักรวาล
ค. จักรวาลวิทยา คือ
ศึกษาเกี่ยวกับความจริง บ่อเกิด และโครงสร้างของจักรวาล
(2) ญาณวิทยา หรือ ทฤษฏีความรู้
ปรัชญาตะวันตกแบ่งบ่อเกิดความรู้เป็น 3 ทาง
คือ
ก. ประสบการณ์ คือ ความรู้เกิดจากประสาทสัมผัส
ข. เหตุผล คือ ความรู้เกิดจากคิดตามหลักเหตุผล
ค.
การหยั่งรู้ภายใน(อัชญัติกญาณ) คือ ความรู้เกิดขึ้นในใจโดยตรง
ลัทธิความเชื่อเกี่ยวกับญาณวิทยา
ก.ลัทธิประสบการณ์นิยม
เชื่อว่า ประสาทสัมผัสเป็นมาตรการในการตัดสินความจริง
ข.ลัทธิเหตุผลนิยม
เชื่อว่า เหตุผลเป็นมาตรการในการตัดสินความจริง
ค.ลัทธิอัชฌัติกญาณนิยม
เชื่อว่า อัชฌัติกญาณเป็นมาตรการในการตัดสินความจริง
(3) จริยศาสตร์ คือ
สาขาที่ศึกษาเกี่ยวกับความดี
ก. ความดีคืออะไร
(ปัญหาเรื่องความมีอยู่ของคุณค่า)
ข.ปัญหาเรื่องเกณฑ์ในการตัดสินความดี
ค.ปัญหาเรื่องอุดมคติของชีวิต
การใช้ชีวิตแบบใดคือการใช้ชีวิตที่ดี
(4) สุนทรียศาสตร์ คือ
สาขาที่ศึกษาเกี่ยวกับความงาม ศิลปะในธรรมชาติ เป็นต้น
กลุ่มที่ตัดสินความงามในสุนทรียศาสตร์เช่น
ก. กลุ่มอารมณ์นิยม กล่าวว่า ความงามขึ้นอยู่กับอารมณ์
ข. กลุ่มเหตุผล
กล่าวว่า ความงามคือการเห็นสิ่งที่ไม่ขัดตา
ค. กลุ่มสร้างสรรค์
กล่าวว่า ความงามเกิดมาจากความสามารถในการสร้างสรรค์
(5) ตรรกศาสตร์ คือ กฎเกณฑ์การใช้เหตุผล
เครื่องมือในการหาคำอธิบายคำตอบอย่างมีเหตุมีผล มีการเปรียบเปรยว่า คณิตศาสตร์คือเครื่องมือของนักวิทยาศาสตร์เพื่อค้นหาความจริง
เช่นใด ตรรกศาสตร์ก็คือเครื่องมือในการค้นหาคำตอบ อธิบายคำตอบของนักปรัชญาเช่นนั้น
ตรรกศาสตร์ไม่ใช่ตัวความจริง แต่เป็นเครื่องมือในการหาความจริง
2) ปรัชญาประยุกต์
(1) ปรัชญาศาสนา
(2) ปรัชญากฎหมาย
(3) ปรัชญาการศึกษา
(4) ปรัชญาวิทยาศาสตร์
(5) ปรัชญาการเมือง
(6) ปรัชญาภาษา
(7) ปรัชญาจิต
(8) ปรัชญาประวัติศาสตร์
(9) ปรัชญาคณิตศาสตร์
(10) ปรัชญาสังคม
ความรู้ทางปรัชญา จึงเป็นองค์ความรู้ทุกอย่าง
และไม่จำกัดอยู่ในสาขาใดสาขาหนึ่งโดยเฉพาะปรัชญาจึงเป็นต้นกำเนิดของศาสตร์ต่างๆ
เป็นศาสตร์สากล(Universal Science) แม้ว่าศาสตร์ทั้งหลายจะแตกต่างจากปรัชญาตรงที่ให้ความจริงแท้แน่นอน
และมีกฎเกณฑ์เฉพาะมารองรับ แต่ศาสตร์เหล่านั้นก็ยังไม่พ้นจากกรอบของปรัชญาไปได้
เพราะปรัชญาได้ติดตามแทรกไปอยู่ดุจยาดำในทุกศาสตร์
นั่นคือแต่ละศาสตร์ย่อมจะมีทฤษฎี จุดหมาย คุณค่าของตนเอง สิ่งเหล่านี้ก็คือปรัชญานั่นเอง
เพราะฉะนั้น ปรัชญาจึงมีทั้งก่อนจะเป็นศาสตร์ และหลังจากการเป็นศาสตร์แล้ว
(พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์ : ทฤษฎีและปัญหาทางญาณวิทยา, 2547)
1.4
เครื่องมือทางปรัชญา
เครื่องมือทางปรัชญาที่ใช้ในการแสวงหาความจริง
มีดังต่อไปนี้
1. เหตุผล หรือ การให้เหตุผล(Reasoning)
2. การสังเกต และการทดลอง(Experiment)
3. ความสงสัย(Doubt) และความประหลาดใจ(Wonder)
4. ศรัทธา
หรือ ความเชื่อ(Faith)
5.
อัชฌัติกญาณ หรือปัญญาหยั่งรู้ฉับพลัน(Intuition)
2. การวิจัยทางปรัชญา
หนึ่งในสาขาของการวิจัยทางสังคมศาสตร์/มนุษยศาสตร์
วิจัยทางสังคมศาสตร์ (Social research)
เป็นการวิจัยที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม
และพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น การวิจัยด้านปรัชญา สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์
เป็นต้น การวิจัยทางสังคมศาสตร์นี้แตกต่างกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มาก เนื่องจากสังคมศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยสังคม
สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งวัดไม่ได้โดยตรงและควบคุมได้ยาก แต่มนุษย์ก็ได้พยายามวัดโดยใช้เครื่องมือวัดทางอ้อม
เช่น ใช้แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบวัดเจตคติ ฯลฯ และได้นำเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาช่วยในการวิจัย
ทำให้ผลการวิจัยเป็นที่น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
การวิจัยทางสังคมศาสตร์อาจจำแนกตามสาขาต่าง ๆ ได้ดังนี้
2.1 สาขาปรัชญา เช่น หลักปรัชญา วรรณคดี
การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม เป็นต้น
2.2 สาขานิติศาสตร์
เช่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายการปกครอง ฯลฯ
2.3 สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ เช่น
การเมือง การปกครอง การบริหารราชการทั่วไป ฯลฯ
2.4 สาขาเศรษฐศาสตร์
เช่น การเงินและการคลัง เศรษฐศาสตร์การพัฒนา ฯลฯ
2.5 สาขาสังคมวิทยาศาสตร์
เช่น ประชากรศาสตร์ พัฒนาชุมชน ฯลฯ
การวิจัยทางสังคมศาสตร์เจริญก้าวหน้าช้ากว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
เพราะว่าปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์นั้นมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น
1) การควบคุมปรากฏการณ์ทางสังคมให้คงที่นั้นทำได้ยาก
2) เมื่อวัฒนธรรมมีการเปลี่ยนแปลง
ทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงไปด้วย
3) การทำนายผลบางอย่างล่วงหน้า
อาจไม่เกิดผลนั้นขึ้นมาเพราะมนุษย์อาจป้องกันไว้ล่วงหน้าได้
4) การที่จะศึกษาความคิด
ความรู้สึกและเจตคติของมนุษย์นั้นทำได้ยากและวัดได้ยาก
5) ปัญหาทางสังคมศาสตร์จะเหมือนกับปัญหาของสามัญชน
ทำให้คนทั่วไปคิดว่าวิชาสังคมศาสตร์เป็นวิชาสามัญสำนึกได้ แม้ว่าการวิจัยทางสังคมศาสตร์จะมีข้อจำกัดอยู่หลายประการก็ตาม
แต่การวิจัยทางด้านนี้ก็สามารถศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ได้มากพอสมควร
แนวทางการศึกษา
ใช้แบบการวิจัยเชิงตีความ (Interpretive
Approach) เกี่ยวข้องกับตัวแปรจำนวนไม่มาก
แต่เป็นตัวแรกที่รู้สึกจริงในเรื่องที่เราศึกษา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยการศึกษาวิจัยในด้านต่าง
ๆ คือ ปรัชญา ศาสนา ประวัติศาสตร์ ศิลปะ วรรณกรรม
เป็นต้น ที่กล่าวมาแล้วก่อนนี้
3.
หลักการวิจัยทางปรัชญา
หลักการทางปรัชญา
คือ การคิดที่เป็นระบบ นับตั้งแต่
สงสัยในความเชื่อ หรือความรู้แบบเดิม ตรวจสอบองค์ความรู้ อย่างพินิจพิเคราะห์ ทบทวนใหม่ วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินค่า
แล้วสร้างปรัชญาที่เป็นระบบขึ้นมา หากจะตรวจสอบกับแนวคิดและวิธีการของการวิจัยโดยทั่วไปก็อาจกล่าวได้ว่า
หลักการและวิธีการวิจัยพัฒนามาจากแนวคิดและวิธีการทางปรัชญา ดังที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ว่า
วิชาปรัชญา ถือ
ได้ว่าเป็นศาสตร์แม่บทของวิชาการทั้งหลาย มีทั้งก่อนจะเป็นศาสตร์
และหลักจากการเป็นศาสตร์แล้ว นักปรัชญาทั้งหลายได้ตั้งปัญหาพื้นฐานไว้ 3 ประการ
ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่นักวิจัยทั้งหลายต้องคิดคำนึงถึงเช่นเดียวกัน
ประเด็นแรกเป็นปัญหาทางอภิปรัชญา คือ ความจริงคืออะไร
ความรู้ที่ค้นหากันตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันถือว่าเป็นความจริงหรือไม่
ประเด็นต่อมาเป็นปัญหาทางญาณวิทยา คือ
มนุษย์สามารถเข้าถึงความจริงนั้นได้หรือไม่
จะเข้าถึงได้โดยวิธีใดและวิธีการใดที่ดีที่สุด และ
ประเด็นสุดท้ายเป็นปัญหาทางคุณวิทยา คือ
การเข้าถึงความจริงนั้นเพื่อประโยชน์ต่อมนุษยชาติในแง่ใด
หลักการวิจัยทางปรัชญาก็คงไม่แตกต่างกันกับหลักการวิจัยทางสังคมศาสตร์
เพราะเป็นการวิจัยทางหลักความคิด ตรวจสอบกระบวนทัศน์ ปรากฏการณ์ทางสังคมที่สะท้อนมาจากค่านิยม
อุดมการณ์ทางความคิด หรือ
การปฏิบัติหรือการดำรงชีวิตที่อาศัยฐานความคิด
ดังหลักการดำรงชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น เพียงแต่การวิจัยทางสาขาปรัชญาอาจมีรายละเอียดที่เป็นแบบเฉพาะของตน
แยกย่อยออกไปตามสาขาและประเภทของเนื้อหาวิชาต่างๆเท่านั้นเอง
แนวคิดและหลักการทางปรัชญา
รวมถึงระเบียบวิธีวิจัยทางปรัชญา ต้องเอื้ออาศัยกันและเกี่ยวข้องกัน
และอาจจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการของวงการวิจัยโดยตรงด้วย
เพราะแนวความคิดทางปรัชญาของนักปรัชญาสำนักต่างๆ เป็นเสมือนความรู้ด้านทฤษฎี
ทั้งนี้เพราะทฤษฎีเปรียบเสมือน “ดวงตา”หรือ “ญาณ” ที่จะช่วยทำให้นักวิจัยมองสิ่งธรรมดาที่อยู่รอบๆตัวออกว่า
“อะไรคือประเด็นปัญหาที่ควรหยิบมาทำการวิจัย
และปัญหานั้นควรจะถูกศึกษาภายใต้มุมมองอะไร ส่วนความรู้และทักษะในระเบียบวิธีนั้น
เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้นักวิจัยสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
ชาย
โพธิสิตา(2547 : 8) กล่าวไว้ว่า
“ความรู้ในทฤษฎีและทักษะในระเบียบวิธีเป็นปัจจัยที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็จะทำให้การวิจัยหย่อนคุณภาพ นักวิจัยที่มีแต่ทฤษฎี
แต่ขาดทักษะในระเบียบวิธี ก็ไม่ต่างอะไรกับช่างไม้ที่มีแต่ความคิดสร้างสรรค์
แต่ขาดเครื่องมือหรือทักษะในการใช้เครื่องมือ ถึงจะมีความคิดดี
และมีวัตถุดีบดีเลิศเพียงใด ประดิษฐกรรมชั้นดีจากฝีมือของเขาก็หาเกิดขึ้นได้ไม่
ในทำนองเดียวกัน นักวิจัยที่เก่งเฉพาะเรื่องระเบียบวิธี
แต่ไม่มีความรู้ด้านทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งที่ศึกษาอย่างดีพอ
ก็ไม่ต่างอะไรกับกัปตันเรือเดินทะเลที่ไม่มีเข็มทิศและเรดาร์นำทาง
โอกาสที่จะถึงจุดหมายปลายทางโดยปลอดภัยย่อมยากลำบาก”
การวิจัย มีหลักว่า วิธีคิดต้องมาก่อน
วิธีการจะตามมาเอง วิธีคิดสำคัญ ทำให้มองเห็นปรากฏการณ์ และเข้าใจ การวิจัยต้องถูกต้องทั้งวิธีคิดและวิธีการ
และการเข้าถึงความจริงต้องอาศัยการวิจัย อาศัยเพียงความเชื่อ
ความคิดเห็นและเหตุผลเท่านั้นไม่พอ อย่าเชื่อตามที่เราเห็น ให้พิจารณาตามหลักกาลามสูตร(รำไพ แก้ววิเชียร : สรุปผลการอบรมการวิจัยเชิงคุณภาพระหว่างวันที่
18-21 มีนาคม 2545 ณ
โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพฯ)
นักวิจัยต้องเตือนตนเองเสมอ
ว่าสิ่งที่เราเห็น หรือเชื่อตามแนวเหตุผล เป็นไปได้ 2 ทางเสมอ ความจริงที่เรามองเห็นเป็นธรรมดา และความจริงที่เรามองข้าม ปรากฏการณ์ (Phenomena) ที่มองใกล้ มองไกล จะต่างกัน
ทั้งนี้เพราะมีเงื่อนไขให้เราวิเคราะห์ ขึ้นอยู่กับบริบทที่เกี่ยวข้อง
ดังเช่น แสงไฟฟ้าที่วิ่งวน ที่เรามองเห็นนั้นเพราะเรามองจากที่ไกล
เมื่อเราเข้าไปอยู่ไต้ดวงไฟ เราจะบอกว่าไฟนั้นดับสลับดวงเท่านั้น
เราเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์กับการที่เราไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
จะทำให้เราคิดถึงสิ่งที่เห็น (phenomena) ต่างกัน
สภาวะของความจริง ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น
- ความจริงขึ้นอยู่กับบริบท
-
ความจริงขึ้นอยู่กับการตีความของคนที่เกี่ยวข้อง
- ความจริงที่ปรากฏ
ความจริงที่จับต้องได้ (Reliable)
- ความจริงของเขา
กับความจริงที่เราไปวัด
- ความจริงมีหลายระดับ
ระดับชั้นของการตีความ
“ความจริง” จากการศึกษาเอกสาร เราจะเข้าใจคำเมื่อเห็นประโยค
เข้าใจประโยคเมื่อเห็นย่อหน้า
เข้าใจย่อหน้าเมื่ออ่านทั้งบท เข้าใจบทเมื่ออ่านทั้งเล่ม เข้าใจหนังสือทั้งเล่มเพราะรู้จักผู้เขียน ตามลำดับ
ดังนั้น
หลักการวิจัยทางปรัชญา หากใช้ในการศึกษาเอกสาร ได้แก่ นักวิจัยต้องแม่นทฤษฎีทางปรัชญาที่จะนำมาเป็นกรอบในการศึกษา ใช้ระเบียบวิธีทางปรัชญาที่อาศัย
การตรวจสอบความรู้และความเชื่อเดิม อย่างพินิจพิเคราะห์ ทบทวนใหม่ วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินค่า ด้วยเหตุผล
มีความถูกเที่ยงตรง ถูกต้องตามหลักตรรกะและความเป็นจริง
4.
วิธีการวิจัยทางปรัชญา
วิธีการวิจัยทางปรัชญา มักจะวิจัยจากข้อมูลเชิงเอกสาร
หรือจากแนวคิดของบุคคล เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ที่ไม่เน้นการนำเสนอในรูปแบบของตัวเลข
ที่สามารถชั่ง ตวง วัด (แต่ก็สามารถใช้การวิจัยเชิงปริมาณได้ หรือ ใช้แบบผสมผสาน
บูรณาการก็ได้
ในการวิจัยเชิงประยุกต์เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงเสริมการวิเคราะห์เนื้อหา) เพราะการวิจัยเชิงคุณภาพ
เป็นการศึกษาเชิงคุณลักษณะ มีคำที่ใช้หมายถึงการวิจัยที่ใช้ระเบียบวิธีเชิงคุณภาพ
เช่น “การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา, การวิจัยเชิงมานุษยวิทยา,
การวิจัยเชิงธรรมชาติ, การวิจัยศึกษาชีวประวัติบุคคล, การวิจัยเชิงปรากฏการณ์,
การวิจัยแบบศึกษาเฉพาะกรณี การวิจัยเชิงวัฒนธรรม” แม้จะดูแตกต่างกันในรายละเอียด
แต่ในแง่ของแนวทาง และวิธีการหลักๆ แล้วไม่แตกต่างกัน ทั้งหมดจัดอยู่ในกลุ่ม
วิจัยเชิงคุณภาพ
แม้จะมี นักปราชญ์ให้คำจำกัดความและขอบเขตการวิจัยเชิงคุณภาพไว้แตกต่างกัน
ผู้เขียนเห็นว่า คำจำกัดความเชิงปฏิบัติการที่ให้ไว้โดย Rice
and Ezzy (1999 : 1) ที่มองการวิจัยเชิงคุณภาพว่า
เป็นการวิจัยที่ ให้ความสำคัญกับการ ตีความหมาย
มุ่งทำความเข้าใจในกระบวนการสร้างและธำรงไว้ซึ่งความหมาย
ที่สลับซับซ้อนและละเอียดอ่อน จุดมุ่งหมายของการวิจัยแบบนี้
อยู่ที่การกรองเอาข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์ หรือการกระทำ
โดยคงไว้ซึ่งบริบทของเหตุการณ์หรือการกระทำเหล่านั้น
และทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาที่ให้รายละเอียดเป็นบูรณาการ(คือการเชื่อมโยงเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์เข้าในระบบความหมายและแบบแผนทั้งหมด)
...การวิจัยเชิงคุณภาพนำเอาแนวคิดทฤษฎีหลากหลายมาใช้ในการศึกษา
..ทฤษฎีว่าด้วยการศึกษาวัฒนธรรม...
นอกจากนี้ยังเอาวิธีการเก็บข้อมูลหลายอย่างมาใช้
เช่นการสัมภาษณ์ การวิเคราะห์เชิงพรรณนา วิธีการชาติพันธุ์วรรณนา
และวิธีการสนทนากลุ่มเป็นต้น” มีความสอดคล้องในวิธีการวิจัยทางปรัชญา ที่ต้องการวิเคราะห์ ความหมาย หาความเป็นเหตุเป็นผล
ความสอดคล้องของคำอธิบายข้อมูลกับหลักการทางปรัชญา
โจทหรือปัญหาสำหรับการวิจัยทางปรัชญา
การวิจัยทางปรัชญา
มีโจทหรือปัญหาการวิจัยดุจการวิจัยในสาขาอื่นๆ ที่เริ่มต้นด้วยคำคำถามว่า อะไร
(ประเด็นหรือเรื่องที่จะศึกษา) ที่ไหน(ถามถึงแหล่งกำเนิด หรือสถานที่ของเรื่องที่จะศึกษา)
เมื่อไร(ถามถึงเวลา หรือช่วงระยะของเลาที่ปรากฏการณ์นั้นดำรงอยุ่) อย่างไร(ถามถึงลักษณะกระบวนการที่ทำให้เกิด
หรือสภาพที่เป็นไป
รวมถึงผลกระทบที่เกิดทำให้เรื่องนั้นๆต้องเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเดิม)
เพราะเหตุไร(ถามถึงสาเหตุและตัวแปร หรืออิทธิพลที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดปรากฏการณ์นั้นๆ)
วิธีการวิจัยทางปรัชญา ไม่มีรูปแบบตายตัว เป็นสูตรสำเร็จ
แต่อย่างน้อยในกระบวนการวิจัยต้องประกอบด้วย กระบวนการวิเคราะห์
ในประเด็นดังต่อไปนี้
4.1
การรวบรวมข้อมูลให้มากพอและหลากหลาย
4.2 การศึกษาความหมายในแนวคิด
4.3 ความเป็นมาของเรื่องที่ทำการวิจัย
4.4 ลักษณะสำคัญของแนวคิด
4.5
พรรณนารายละเอียดของแนวคิด
4.6
วิเคราะห์/วิจารณ์และ
4.7 การตีความ/ประเมินค่าข้อมูล
5.
เป้าหมายการวิจัยทางปรัชญา
5.1
เพื่อสร้างองค์ความรู้ หรือข้อค้นพบใหม่ เป้าหมายของการวิจัยทางปรัชญาระดับนี้
ขึ้นอยู่กับผู้วิจัยว่าต้องการความรู้ลึกซึ้ง สามารถต่อยอดทฤษฎีเดิม
หรือขัดแย้งกับทฤษฎีเดิม เป็นการแสวงหาความรู้เชิงลึก ที่เรียกว่า การวิจัยพื้นฐาน
แม้ชื่อจะบอกว่า การวิจัยพื้นฐาน แต่มิใช่พื้นฐานที่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
แต่เป็นการวิจัยที่ต้องการค้นหารากฐานขององค์ความรู้นั้นๆจนถึงแหล่งกำเนิด เป็นต้น
ซึ่งเป้าหมายการวิจัยส่วนนี้ เกิดมาจากการวิจัยในสาขาปรัชญาบริสุทธิ์
5.2
เพื่อการนำองค์ความรู้ไปปรับใช้ในศาสตร์ต่างๆ เป้าหมายอีกประการหนึ่งของการวิจัยเชิงปรัชญาในระดับนี้
ก็เพื่อการนำองค์ความรู้มาปรับใช้ เป็นการวิจัยเพื่อสร้างรูปแบบ
หรือ เป็นต้นแบบในการดำรงชีวิต หรือ แสวงหาหลักการและแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางความคิด
หรือ ปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติ การวิจัยแบบนี้ อาศัยสาขาปรัชญาประยุกต์
เป็นกรอบในการศึกษา เช่น ปรัชญาการศึกษา เป็นต้น
ตัวอย่างรายชื่องานวิจัยทางปรัชญา
“การศึกษาจริยศาสตร์สังคมในพุทธศาสนาในเชิงวิจารณ์
= A
critical study of social ethics in Buddhism” / ปรีชา ช้างขวัญยืน
2520
“พุทธปรัชญาในงานประติมากรรม
= The
Buddhist philosophy in the individual sculpture” / ธานี กลิ่นขจร 2530
“การศึกษาแนวคิดเชิงปรัชญาในภาษิตไทย
= A
study of philosophical perspectives in Thai sayings” / นัยนา นาควัชระ
2531
“การศึกษาเปรียบเทียบเกณฑ์ตัดสินความดีในพุทธปรัชญาเถรวาทกับในปรัชญาของคานท์
=
The criteria of goodness in Thearavada Buddhism and Kant's philosophy : a
comparative study” / ไพลิน เตชะวิวัฒนาการ 2533
“การศึกษาเชิงปรัชญาเรื่องปรัชญาการศึกษาในทัศนะของพระธรรมปิฎก
(ประยุทธ์ ปยุตฺโต) = A
philosophical analysis of philosophy of education in the view of
Phradhammapitaka (Prayudh Payutto)” / พระมหาบรรจง สิริจนฺโท
(สมนา) 2539
6. หลักการวิจัยทางศาสนา
ในประเด็นที่เป็นหลักการวิจัยทางศาสนา
ก็คงอาศัยแนวทางการวิจัยเชิงเป็นหลักอิงได้ เพราะความแตกต่างกันในหลักการวิจัย
วิธีการวิจัย และเป้าหมายการวิจัยมีไม่มากนัก จุดที่ต่างกันก็เรื่องพื้นฐานหรือที่มาของของศาสนา
ในขณะที่ปรัชญามีพื้นฐานมาจากนักคิดอิสระ ใช้เหตุผล วิพากษ์วิจารณ์เป็นหลักในการแสวงหาความรู้
ทางโลกตะวันตก ปรัชญาสามารถแยกตัวเป็นอิสระจากศาสนาได้อย่างเด็ดขาด
ส่วนโลกทางตะวันออก ศาสนากับปรัชญาไปด้วยกัน แต่ฐานทางศาสนา เน้นศรัทธา
หรือความเชื่อเป็นเบื้องต้น ศาสนาจะเป็นศาสนาสมบูรณ์ต้องมีหลักการปฏิบัติตามความเชื่อ
และพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อ ซึ่งส่วนหลังนี้ สาขาปรัชญาดูจะขาดหายไป
หากมองศาสนาอย่างเป็นระบบ
เราจะพบว่า ในทุกศาสนาย่อมมีหลักใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้
หลักแห่งความเชื่อ
หลักแห่งความจริง
หลักแห่งความรู้
หลักแห่งการปฏิบัติ
การวิจัยทางศาสนา
จึงต้องกำหนดเป้าหมายว่า จะเป็นการวิจัยพื้นฐาน(หลักการ)
หรือเป็นการวิจัยประยุกต์(นำหลักการออกไปปรับใช้) ตัวอย่าง เรื่องการวิจัยแบบพื้นฐาน
การวิจัยในหลักความเชื่อทางศาสนา “ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท = Dasaparami
in theravada Buddhism” / สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี 2524
“ความเชื่อตามหลักแห่งกรรม
ที่ปรากฏตามคัมภีร์เป็นอย่างไร และความเชื่อของศาสนิกชนที่เบี่ยงเบนหรือขัดกับหลักกฎแห่งกรรมเป็นอย่างไร”
“ความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์กับกฎแห่งกรรมของชาวพุทธไทยในปัจจุบัน
= Astrology
and the law of karma as believed and applied by present Thai Buddhists “/ พระมหาประศักดิ์ อคฺคปญฺโญ (ชั่งแสง) 2541
การวิจัยหลักแห่งความจริง
“การตีความเรื่องการผิดพระวินัยเพราะถวายเงิน/ทองและการรับเงินและทองของพระภิกษุของพระเกษม
วัดป่าสมแยก”
การวิจัยในหลักการปฏิบัติ
“วิธีปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของสำนักสวนโมกข์
กับวิธีปฏิบัติวิปัสสนาของสำนักวัดมหาธาตุ”
ตัวอย่าง
การวิจัยเชิงประยุกต์ใช้
“วิเคราะห์การนำพุทธศาสนามาใช้ในการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ”
/ วสันต์ ณ ถลาง 2515
“การนำเสนอรูปแบบการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวพุทธศาสตร์
= A
proposed educational model for sustainable development based on Buddhism “/ ดลพัฒน์ ยศธร 2542
“พุทธศาสนากับการพัฒนาเยาวชนในยุคโลกาภิวัตน์ : ศึกษาเฉพาะกรณีนักเรียนในโรงเรียนพณิชยการสุโขทัย
= Buddhism
with glogalizational young's development : a case study of Suchothai Commercial
College student” / พระมหาวีระ ลิขิตเลิศ 2545
“การวิเคราะห์
ตัวละครในนิทานพื้นบ้านยุโรปในเชิงคุณธรรมตามวิถีพุทธ =
The Analysis of the charactors in European folklore from Buddhist virtue
aspects”/ พูลสุข อาภาวัชรุตม์ ตันพรหม, 2554.
7. แหล่งเอกสารอ้างอิง
ชาย
โพธิสิตา,(2547). ศาสตร์และศิลป์แห่งการวิจัยคุณภาพ. กรุงเทพฯ :
อมรินทร์พรินติ้ง.
เบญจา
ยอดดำเนิน-แอ็ตติกจ์,(2544). การศึกษาเชิงคุณภาพ : เทคนิคการวิจัยภาคสนาม.
(พิมพ์ครั้งที่ 5, นครปฐม : สถาบันการวิจัยประชากรและสังคม
มหาวิทยาลัยมหิดล.
พรศักดิ์
ผ่องแผ้ว, (2529). ศาสตร์แห่งการวิจัย. กรุงเทพฯ :
ไทยวัฒนาพานิช.
พิสิฏฐ์
โคตรสุโพธิ์, (2547). ทฤษฎีและปัญหาญาณวิทยา. เชียงใหม่
: คณะมนุษยศาสตร์.
มนัส
สุวรรณ และคณะ, (2543). การเขียนโครงการวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
เชียงใหม่ : สถาบันวิจัยสังคม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
รำไพ แก้ววิเชียร (2545). สรุปผลการอบรมการวิจัยเชิงคุณภาพ ระหว่างวันที่
18-21 มีนาคม 2545 ณ
โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพฯ.
Rice P.L.
and Ezzy, D, (1999). Qualitative Research Methods : A Health Focus.
South Melbourne,Victoria : Oxfrod University Press.
[1] อาจารย์ ดร.พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์,
รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม และอาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เรียบเรียงเพื่อโครงการอบรมนักวิจัย รุ่น 1 / 2 วันที่ 12-13
มกราคม 2555. ณ ห้องประชุม อาคารรวม บัณฑิตวิทยาลัย-สถาบันวิจัยสังคม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น