แจ้งข่าวนักศึกษา012173

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

โอวาทานุสาสนี จ.ศ.1251 (หริภุญไชยนคอร) ประกาศระเบียบปกครองสงฆ์ เมืองลำพูน พ.ศ. 2432

 โอวาทานุสาสนี  จ.ศ.1251 (หริภุญไชยนคอร)  ฉบับวัดบ้านหลุก
--------------
          ความเป็นมา 
โอวาทนุสาสนี จ.ศ.1251(พ.ศ. 2432) ฉบับวัดบ้านหลุก  ตำบลเหมืองง่า อำเภอเมือง จังหวัดลำพูนฉบับนี้ เป็นเอกสารใบลาน ที่ทีมงานคณะนักวิจัย สถาบันวิจัยสังคม  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดย ดร.พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์ ได้เข้าไปสำรวจใหม่ ในปี พ.ศ. 2558 หมายเลขที่สำรวจ  15.0009.04.0106-01 หนังสือใบลาน เส้นจาร อักษรไทยยวน ชื่อ โอวาทนุสาสนี เป็นหนังสือของครูบาเจ้าปัญญา  (สามเณรธัมมชัยคัดลอก)   ระยะที่ประกาศระเบีบปกครองสงฆ์ หัวเมืองลำพูนนี้ (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ เป็นช่วงที่ทางบ้านเมืองและสถาบันทางพระพุทธศาสนาได้มีการปรับปรุงระบบการบริหารขนานใหญ่ให้มีความทันสมัย) โอวาทนี้จึงวางไว้เพื่อ เป็นระเบียบปฏิบัติ  สำหรับพุทธศาสนิชนเมืองหริภุญไชย(นครลำพูน) โดยทางฝ่ายบรรพชิต ผู้ปกครองคณะสงฆ์ (สังฆนายก) มีครูบามโน  วัดหัวขัว  ครูบาสังฆราช  ครูบาสมเด็จ  ครูบาสามี  เป็นหลัก พร้อมด้วยคณะสงฆ์ทุกรูปในแขวงเมืองหริภุญไชย  และทางฝ่ายฆราวาส  มีเจ้านครหริภุญไชย ที่พระสงฆ์ เรียกว่า “อิสสราชธิปดีพ่อออกมหาราชเจ้า”(ตรงรัชสมัยเจ้านครลำพูนองค์ที่ 8 "เจ้าเหมพินธุไพจิตร"  พ.ศ. 2431 - 2438) พร้อมด้วย เจ้าอุปราช และเจ้าราชวงส์  ได้ประชุมปรึกษาแสวงหาวิธีอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ 5000 พระวัสสา  และรักษาคำสั่งสอน นับแต่อักขระ 41 ตัว  มี “อะ” เป็นต้น  มี “อํ”  เป็นที่สุด  เอาไว้ให้เป็นครูสั่งสอน แทนองค์พระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธะ ที่ทรงสั่งสอนพุทธบริษัททั้ง  4 คือ ภิกษุภิกษุณี (สามเณร)  อุบาสก และอุบาสิกา เอาไว้ ให้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียรรักษาศีล 5  ศีล 8  เจริญเมตตาภาวนา กระทำบุญ ให้ทาน เพื่อให้ถึงมรรคและผล ได้แก่ ความสุข 3 ประการ  มีพระนิพพานเป็นที่สุด จึงได้เขียนโอวาทานุสาสนีประกาศ เป็นกฏหมายให้คณะสงฆ์และฆราวาสในนครหริภุญไชยไว้ได้ทราบและถือปฏิบัติโดยทั่วกัน ณ  เดือน 8 แรม 2 ค่ำ วัน พฤหัสบดี  ปีกัดเปล้า  จุลศักราช 1251  (พ.ศ. 2432)   
คณะนักวิจัยเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเอกสารคำสอนของสังฆปราชญ์โบราณ ที่ต้องการให้ทั้งฝ่ายบรรพชิต และคฤหัสถ์ ปฏิบัติตนถูกต้องตามคติจารีตในพระพุทธศาสนา เช่น หน้าที่ของบรรพชิตมีอะไรบ้าง หน้าที่ของอุบาสกอุบาสิกามีอะไรบ้าง อะไรควรทำ อะไรควรเว้น ชี้แจงด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ปฏิบัติตามได้ไม่ยาก ดังนั้น โอวาทนี้จึงถือเสมือนเป็นเครื่องขัดเกลาทางสังคมแบบวิถีพุทธที่ทรงคุณค่าทางจริยศาสตร์อันงดงามอีกเรื่องหนึ่ง  

สาระเนื้อหา
โอวาทานุสาสนี จ.ศ.1251 (หริภุญไชยนคอร) เริ่มต้นด้วยภาษาลี ว่า “เอวํ  ธาเรถ  โอวาทานุสาสนี  ภิกฺขุปาฏิโมกฺขสํวรสีลํ  วินยปิฎกํ  สามเณรสฺส  ทสสีลํ  สิกขาปทํ  สมณสงฺฆนายก  สามคฺคีคณ  อิสฺสราชสมคฺคคณ”
         บัดนี้ ฝ่ายบรรพชิตผู้นำฝ่านสงฆ์ ประกอบด้วยครูบามโน  วัดหัวขัว  ครูบาสังฆราช  ครูบาสมเด็จ  ครูบาสามี  พร้อมกับคณะพระสงฆ์ ในแขวงเมืองหริภุญไชยทุกรูป และฝ่านคฤหัสถ์ ประกอบด้วย เจ้าผู้ครองนครหริภุญไชย[1] พร้อมด้วยเจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ์ ได้ประชุมปรึกษาร่วมกัน  ปรารภยังพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ 5,000 พระวัสสา และคำสั่งสอนทั้งหลาย นับแต่อักขระ 41 ตัว  มี “อะ” เป็นต้น  มี “อํ”  เป็นที่สุด  จะได้รักษาไว้ให้เป็นครูสั่งสอน แทนองค์พระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนพุทธบริษัททั้ง 4 มี  ภิกษุ ภิกษุณี  สามเณร อุบาสก และอุบาสิกาทั้งหลาย  ได้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียร รักษาสีล 5  สีล 8  เจริญเมตตาภาวนา กระทำบุญ ให้ทาน  จะเป็นบันไดให้ถึง มรรคผล   ประสพความสุข 3 ประการ  มีพระนิพพานเป็นที่สุด จึงประกาศเป็นคำสั่ง(ระเบียบข้อปฏิบัติ) ดังต่อไปนี้
          ข้อที่ 1 เมื่อบรรพชาอุปสมบท เป็นภิกษุและสามเณรอยู่ในศาสนานี้ ให้กระทำสมณธรรม   เป็นต้นว่า คันถะธุระ  วิปัสสนาธุระ  คือการสูตต์เรียน  เขียนอ่าน  เจริญเมตตา  ภาวนา   เว้นจากปาณาติบาต  อทินนาทานา  อพรหมจริยกรรม  มุสา  สุรา และกิเลสธรรม 1,500 มีราคะเป็นต้น  กำหนดจิตพิจารณาสังขารธรรมที่เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ในวัฏฏสงสาร รักษาจิตมิให้หวั่นไหวไปตามโลกธรรม 8 ประการ   ได้แก่ มีลาภ เสื่อมลาภ มัยศ เสื่อมยศ สุข  ทุกขา  นินทา  และสรรเสริญ
ข้อที่ 2 อย่าได้มีความสังสัยในคำสั่งสอนของพระตถาคต ดำรงตนอยู่ในสมณภาวะแท้จริง  เป็นพระภิกษุ ให้รู้จักปาริสุทธิศีล 4 ได้แก่ ปาฏิโมกขสํวรสีล(สำรวมในพระปาฏิโมกข์  คือ(ปาราชิก 4 สังฆาทิเสส 13)  อนิยต 2  นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30  (สุทธ)ปาจิตตีย์ 92  ปาฏิเทสนียะ 4(ต้นฉบัับว่า 8)  เสขิยะ 75  อธิกรณสมถะ 7 รวมกันมี 227 รักษาให้ดี   อย่าทำให้ศีลธรรมของพระพุทธเจ้าหม่นหมอง   รักษาอินทรียะทั้ง 6 คือ หู ตา จมูก (ปาก)ลิ้น กาย และ ใจ  ชื่อว่า “อินทรียสํวรศีล” อาชีวปริสุทธศีล ให้เลี้ยงชีวิตโดยชอบ  ให้ออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ไม่กระทำอเนสนกรรม(การแสวงหาเลี้ยงชีพที่ไม่เหมาะสมกับสมณภาวะ) 21 และ อโคจร(สถานที่ไม่ควรเข้าไป) 5  “จตุปจฺจยสันนิสิตฺตศีล”  ให้พิจารณาทุกขณะที่บริโภคปัจจัยทั้ง 4  อย่าให้ขาด   ถ้าศีล 4 หมวดนี้บริสุทธิ์   ศีลอื่นๆ อีกจำนวน 9 พันโกฏิ  5 ล้าน 36 ข้อ  ก็จะบริสุทธิ์ทั้งหมด
          ข้อ 3  ให้ทรงจำศัพท์ปาฏิโมกข์ทั้ง อัตถบาลี  และศัพท์จน่ำชองคล่องปาก ขึ้นใจ เข้าใจองค์(หัวข้อ)และลักษณะ สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แก่ภิกษุทั้งหลาย  (อันจะ)เป็นคลองปฏิบัติเข้าสู่พระนิพพาน   ถ้าบรรพชาเป็นสามเณร ให้ศึกษาเรียนรู้ศัพท์เครื่องปัพพชากรรม มีปฏิสังขาโย(ตังขณิกปัจจเวกขณะ) และ ยถา(ปัจจยัง ; ธาตุปัจจเวกขณะ)  และอัชชะ มยา(อตีตปัจจเวกขณะ) ใน(ปัจจัย)ทั้ง 4   สรณาคมนะ(พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ)   สิกขาบท 10 ประการ  (ศีล 10)  ให้รู้ข้อที่ควรกระทำและข้อที่ควรเว้น จึงจะเป็นสามเณรผู้บริสุทธิ์โดยแท้
          ข้อ  4 นับตั้งแต่วันที่บวชบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ให้ออกไปบิณฑบาตมาฉันตลอดเวลาที่ยังบวชเป็นภิกษุ หรือสามเณร ดำรงตนอยู่ในคลองวัตรปฏิบัติ  ถ้ามีจิตใจอุตสาหะมาก ให้ถือการฉันอาหาร คาบเดียว (ฉันเอกา) ถ้าถือไม่ได้ ก็ให้ฉัน 2 คาบ โดยไม่ให้ถึงอาทิตย์ไม่าย(หลังเที่ยงวัน)ไม่ดี ผิดแต่คลองสิกขาบท  พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้
          ข้อ 5  ในเวลาวิกาล อย่าเข้าไปเที่ยวในบ้าน ขอให้ดำรงตนอยู่ในคลองจารีตพระภิกษถสามเณร ถ้ามีเหตุจำเป็น เช่น จะไปโปรดศรัทธา(ทายก ทายิกา) บ้านของพ่อแม่พี่น้อง เกิดเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นพยาธิ อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ถือไฟส่องทาง มีสหธรรมิก 2-5 รูปเป็นเพื่อนไป  ครองผ้าให้เป็นปริมณฑล ดังที่ห่มในวันบวชใหม่  สวมลูกประคำห้อยคอเป็นคุรุลักขณะแห่งสมณะ  จงอย่าไปผู้เดียว ไม่งาม จักเป็นโทษแก่ตน  อาจถูกทางบ้านเมืองจับกุมคุมขังได้
          ข้อ 6 สำหรับภิกษุให้เรียน “ปาฏิโมกฺขสํวรสีล” ส่วนสามเณรให้เรียน ศัพท์เครื่องบวช  ดังที่กล่าวมา มีระยะเวลาให้เรียน 1 ปี ต้องให้คล่องทั้งบาลี และตัวศัพท์ เมื่อครบ 1 ปี  เจ้าผู้ครองนคร (เจ้าหลวง) จะให้มาสอบทวนความรู้ต่อหน้าทุกหัววัด  ถ้าตนใดท่องไม่ได้ จะเอาเป็นโทษใหญ่  ส่วนเจ้าอาวาส(เจ้าหัววัด หัววา) ให้รู้จักเสียงอักขระ ตัวหนัก ตัวเบา คือ ครุ ลหุ ทีฆะ(เสียงยาว) รัสสะ(เสียงสั้น) สถิละ(เสียงเบา) ธนิตตะ(เสียงก้อง)” จงใส่ใจให้ดี อย่าได้ประมาทเกียจคร้าน
          ข้อ 7 ครั้นบวชเป็นพระภิกษุ หรือ สามเณรได้ 3 พรรษา เกียจคร้านร่ำเรียนพระปริยัติ  ไม่เจริญจิตเมตตา ภาวนา  ไม่รู้อัตถธรรม(ความหมายของธรรมะ)ของพระพุทธเจ้า  จงให้สึกออกไป  ทุกรูปจงท่องบทสวด(สูตต์ หรือ ปริตต์)ให้ได้ครบ 15 วาระ(ตำนาน) เจ้าอาวาสจงสั่งสอนสิกข์ยม(เด็กวัด)ให้ได้บทสวด(สูตต์) วันละ 3 เวลา  คือ เช้า 1 ครั้ง หลังอาหารเพล 1 ครั้ง และ เมื่อตอนค่ำอีก 1 ครั้ง  อย่าได้ขาด เพื่อเป็นสาสนานุสสติ เกิดมรรคเกิดผลแก่ตน พ่อแม่ ครูอาจารย์  ญาติกา ศรัทธา คิลานุปัฏฐากทั้งหลาย 
ข้อ 8 เมื่อบวชเป็นภิกษุ สามเณร  จงปฏิบัติตามโอวาท คำสอน สิกขาบท ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ เพราะสิ่งนี้เป็นทางที่พระอริยเจ้าทั้งหลายได้ปฏิบัตินำตนเข้าสู่นิพพาน ถึงเกษมสุขอย่างยิ่ง พระภิกษุก็ดี  สามเณรก็ดี  จงประพฤติปฏิบัติตนให้ดี เสมอต้นเสมอปลาย สำรวมระวังเสมือนดังเมื่อตนบวชใหม่ จะนับว่าเป็นการตอบแทนอาหารบิณฑบาต   คิลานปัจจยะ และเสนาสนะที่ทายกทายิกาอุปถัมภ์โดยแท้
           ข้อ 9 สำหรับ อุบาสก  อุบาสิกา  คิลานุปัฏฐากทั้งหลายนั้น  ขอให้เว้นเสียจาก บาป 5 ประการ  คือว่า ฆ่าสัตว์   ลักขโมย   เล่นชู้สู่เมียผู้อื่น  กล่าวคำมุสามดเท็จ  ยุยงส่อเสียดให้เขาผิดกัน เสพสุรายาเมา และควรเว้นจากการเป็นนักเลง 3 ประการ คือ  อิตถีธุตตะ(นักเลงผู้หญิง)  สุราธุตตะ(นัเลงสุรา)  อักขธุตตะ(นักเลงการพนัน)   จงพากันตั้งตนอยู่ในโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้า  หมั่นรักษาศีล 5  ศีล 8 กระทำบุญ เจริญจิตเมตตาภาวนา ตามปักขะ คือ วันออก(ขึ้น) 8  ค่ำ  วันแรม 8 ค่ำ  วันอุโปสถะ  วันเดือนดับ(แรม 14 -15 ค่ำ) วันเดือนเพ็ง(ขึ้น 15 ค่ำ)  ตามสติกำลังและความอุตสาหะของตน
          ข้อ 10 ให้ทายก ทายิกา อุบาสก อุบาสิกา  ไปถวายทานเข้าสุก  น้ำอุ่น  หมากพลูแด่ แก้วเจ้า 3 ประการ(พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์)  วันละ 2 เวลา  คือ เวลาเช้า  1 ครั้ง  และเวลากลางวันก่อนใกล้เที่ยง อีก 1 ครั้ง อย่าให้เลยเวลาที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แก่สมณะ คือ ภิกษุและสามเณร ถ้าปฏิบัติได้ตามครรลองนี้  ก็จักบรรลุมรรค ผล และความสุข 3 ประการ  มีพระนิพพานเป็นที่สุดอย่างแน่นอน
          ข้อ 11. ภิกษุให้บอกอโรจนะ(?? น่าจะหมายถึง การปลงอาบัติ) ทุกวัน  อย่าให้ขาด
          ข้อ 12 ภิกษุจงรักษาผ้าครอง 3 ผืน (ไตรจีวร) อย่าห่างจากตน(ติจีวราวิปวาส)
          ข้อ 13 การย้อมผ้าจีวร ให้ใช้เพียงการซักขยำผ้ากับหัวขมิ้นก็พอ เกินไปกว่านั้น ห้ามเด็ดขาด ขืนละเมิด จักเป็นโทษหนัก(มหันตโทษ)
          ข้อ 14 ภิกษุ หรือ สามเณร อยู่ภายในวัด หรือจะออกจากวัดไปธุระทางใด  จงอย่านุ่งผ้าหยักรั้ง ไม่ถูกจารีตของพระวินัย
 กฎหมาย(ระเบียบ/ข้อบังคับ)นี้ ออก ณ เดือน 8 แรม 2 ค่ำ วันพฤหัสบดี  ปีกัดเปล้า  จุลศักราช 1251  ครูบาสมเด็จได้ขอให้สมเด็จมหาราชเจ้าหลวง ตราโอวาทไว้  วัดใดทำให้(โอวาท)สูญหายเสียไป จะมีโทษ 
          หนังสือนี้ ถ้าเจ้าอาวาสวัดใด คัดลอกแล้ว จงส่งคืนมาเก็บ(ต้นฉบับ)ไว้ที่วัดบ้านหลุกเถิด
(ชัปนะ ปิ่นเงิน ปริวรรตจากต้นฉบับ กันยายน 2558,  พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ ตรวจสอบ เรียบเรียงเนื้อหา มิถุนายน 2559)



[1] ตรงรัชสมัยเจ้านครลำพูนองค์ที่ 8 เจ้าเหมพินธุไพจิตร (2431 - 2438)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น