2.
ความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในพม่า
แม้ว่า
พระพุทธศาสนาจะได้เข้ามาตั้งมั่นในรามัญประเทศ นับแต่ครั้งพระสมณะทูตของพระเจ้าอโศกมหาราช
ในปีพ.ศ. 235 เป็นต้นมา ผ่านยุคสมัยมา 800
ปี เมืองรามัญ ได้เกิดภัย 3 ประการ คือ ภัยจากโจรผู้ร้าย ภัยจากไข้ป่า
และภัยจากศัตรูทางศาสนา[1]
ทำให้การพระพุทธศาสนาอ่อนกำลังลงมาเรื่อยๆ จนมาถึง พ.ศ. 1060 ในสมัยของพระเจ้าสุริยกุมาร
พระศาสนาอ่อนกำลังลงมาก พระสงฆ์ไม่อาจบำเพ็ญสังฆกิจได้ดังต้องการ ขณะที่ ชาวพยู ที่อาณาจักรศรีเกษตร
ก็ไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ชาวพุทธพม่าก็สามารถดำรง ฟื้นฟู และยกย่องพระศาสนาให้สืบมาจนถึงอนุชนรุ่นหลังตราบปัจจุบัน
ซึ่งจะนำเสนอข้อมูลโดยย่อ พอสืบเค้าที่ไปที่มาได้ ดังต่อไปนี้
2.1 การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในสมัยก่อนอาณาจักรพุกาม
2.1.1
สมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์(พระสิริปรัมมหาธรรมราชา) แห่งนครหงสาวดี (พะโค) พ.ศ. 1262
พระองค์ได้ครองเมืองสำคัญ อีก 2 เมือง คือ “กุสิมะ (พะสิม)” และ “เมาะตะมะ(มุตติมะ)”
พระองค์ทรงฉลาดในพระไตรปิฎก รู้พระเวท 4 และเชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ ทรงเห็นว่า พระศาสนาในอาณาจักรของพระองค์ ปฏิบัติผิดเพี้ยนไปจากพระวินัย
ด้วยเป็นสีมาวิบัติ(เป็นคามสีมา) และปริสวิบัติ(คณะสงฆ์ที่ทำสังฆกรรมอุปสมบทไม่ถูกพระวินัย)
เคยทราบว่าพระพุทธเจ้า ทรงตั้งอายุพระพุทธศาสนาไว้ 5,000 พระวัสสา แต่กลับจะมาเสื่อมลงในสมัยปกครองของพระองค์
จึงได้แสวงหาหาวิธีฟื้นฟูพระพุทธศาสนา โดยเสด็จไปปรึกษาหารือกับพระสงฆเถระผู้ฉลาด ในพระไตรปิฎกว่า
สมควรจะส่งพระสงฆ์ผู้ที่มีกำลังสติปัญญาไปเกาะสีหล รับสิกขาบทใหม่(บวชแปลงใหม่)
ศึกษาพระธรรมวินัยจากต้นแบบที่ลังกาให้เชี่ยวชาญแล้ว กลับมาฟื้นฟูพระศาสนาที่หงสาวดี
เมื่อคัดเลือกพระสงฆ์ผู้มีคุณสมบัติได้แล้ว จึงได้ขอให้พระโมคคัลลานเถระกับพระโสมเถระไปเกาะสีหล
เมื่อพระสงฆ์เหล่านี้ไปลังกา ได้รับการอุปสมบทแปลงใหม่ ที่อุทกุกเขปสีมา บนแพขนาน กลางแม่น้ำกัลยาณี
และ อยู่ศึกษาพระพุทธศาสนาจนเกิดความเชี่ยวชาญ แล้วกลับมานครเมาะตะมะ เมื่อพระสงฆ์เหล่านั้นกลับมา
พระองค์ก็ให้พระสงฆ์สวดถอนสีมาเก่าออกเสีย ให้ทำอุทกุกเขปสีมา โดยผูกแพขนานลอยท่ามกลางแม่น้ำ
ให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรม ที่แพกลางน้ำ จึงเรียกว่า “กัลยาณีสีมา” นับแต่นั้นมา
พระศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองในรามัญประเทศ และเผยแผ่ไปทั่วรัฐพม่า เพราะพระสงฆ์จากต่างรัฐ
ก็ได้มาศึกษาเพื่อสืบศาสนาที่นครพะโคแห่งนี้
พระเถระสังฆปราชญ์ชาวรามัญ ในเมืองสะเทิม
(สุธรรมวดี /หงสาวดี) นับแต่นั้นมา จนถึงสมัยของพระเจ้า “มโนหาริ หรือ มาโนหาร์” ล้วนเป็นผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมอย่างแตกฉานในพระไตรปิฎก
สามารถนิพนธ์คัมภีร์ทางศาสนาหลายท่าน ตัวอย่าง พระเมธังกร ชาวเมาะตะมะ ได้นิพนธ์คัมภีร์
โลกทีปสาระ พระอานันทะ ชาวหงสาวดี นิพนธ์ฎีกาชื่อ
มธุรสารัตถทีปนี อธิบายอภิธรรม พระธรรมพุทธะ ชาวหงสาวดี นิพนธ์คัมภีร์ กวีสาระ
อธิบายฉันท์ และ พระสัทธัมมาลังการะ ชาวหงสาวดี นิพนธ์คัมภีร์ ปัฏฐานะสารัตถทีปนี นอกจากนี้
ยังมีคัมภีร์อีกหลายเล่ม ที่ไม่ปรากฏชื่อผู้นิพนธ์ [2]
2.1.2 ลัทธิและศาสนาเดิมของชาวพุกาม
2.1.2.1
การนับถือ นัต(Nat) หรือ นาถ(Nath)[3]
ทุกชนเผ่าที่มีประวัติยาวนาน
ก่อนจะนับถือลัทธิหรือศาสนาใหม่ ย่อมเคยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กลุ่มตนเคยนับถือมาก่อน
อันเป็นวิวัฒนาการของความเชื่อ
และความเชื่อดั้งเดิมบางอย่างยังคงนับถือผสมผสานกับความเชื่อทางศาสนาปัจจุบัน
นับตั้งแต่นับถือพลังอำนาจธรรมชาติ(Naturalism)
นับถือพลังลึกลับ/นับถือไสยศาสตร์(Mysticism) นับถือวิญญาณ(Animism/Spirit worship) นับถือบรรพบุรุษ(Ancestor- worship) นับถือเทพเจ้า(Deism) นั่นคือสายพัฒนาการความเชื่อของมนุษย์
จนตกผลึกเป็นความเชื่อทางศาสนาปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ความเชื่อใหม่ ก็ไม่ใช่ใหม่ทั้งหมด
เพราะมีความเชื่อเก่าผสมผสานกันอยู่ หรือยังมีเกลียวสัมพันธ์อยู่ ไม่อาจแยกจากกันอย่างเด็ดขาด
แม้ว่า ชาวพม่าจะหันมานับถือพระพุทธศาสนา แต่เขาก็คงรักษาความเชื่อดั้งเดิม คือ
การนับถือ “นัต” หรือ ต่อมาอาจจะเรียกว่า “เทพารักษ์” มาดูว่า นัต
ที่ชาวพม่านับถือ คือ อะไร ซึ่งมีบทความที่เขียนโดย ดวงกมล การไทย เรื่อง “เมียนมา
– ศาสนาและความเชื่อ” ลงในฐานข้อมูลสังคม – วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้เรียบเรียงเห็นว่า
เป็นบทความที่กระชับ จึงขอเรียบเรียงใหม่นำมาลง ดังนี้
คำว่า “นัต” ปราชญ์ชาวพม่า
เชื่อว่าคำนี้น่าจะมาจากคำว่า “นาถ” ในภาษาบาลี หมายถึง ผู้เป็นที่พึ่ง ผู้ทรงฤทธิ์
เป็นได้ทั้งเทพยดาและวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็คือ
เหล่าเทพเทวาบนชั้นฟ้า ตลอดถึงวิญญาณของผู้ประเสริฐและผู้ทรงอำนาจบนโลกมนุษย์ นัตมี 3 ประเภท[4]
ได้แก่ 1. เทพเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์คุ้มครองมนุษย์ 2.วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หรือ ขวัญ (เละปยา)
ของผู้ตายร้าย สามารถให้คุณให้โทษแก่ผู้คนทั่วไปได้ และ 3.
สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติด้วยอำนาจแห่งนัต
นัตทั้งหมดมีจำนวน 37 ตน เป็นทั้ง
นัตที่ดี และนัตที่ร้าย การติดต่อกับนัต ทำได้หลายรูปแบบ การกราบไหว้ เซ่นสรวง ลงทรง เพื่อขอความคุ้มครอง
บนบานศาลกล่าว หรือบัดพลีเมื่อคำขอเป็นผลสัมฤทธิ์ รูปแบบของการเซ่นไหว้นัต
จะแตกต่างกันอยู่ขึ้นอยู่กับนัตแต่ละตน เช่น นัตบางตนนิยมมังสวิรัติ
นัตบางตนชอบอาหารดิบ เช่น ปลาดิบ เนื้อดิบ นัตบางตนชอบของมึนเมา
ความเชื่อเกี่ยวกับนัตในรูปผีอารักษ์ เป็นความเชื่อพื้นถิ่นที่ปรากฏอยู่คู่สังคมพม่ามายาวนานยิ่งกว่าพุทธศาสนา
มีบทบาทที่สำคัญถึงระดับร่วมสร้างบ้านแปงเมืองในพุกามยุคแรกๆ จนได้รับยกย่องเป็นมิ่งเมือง
เมื่อพระเจ้าอโนรธา รับพุทธศาสนา บทบาทของนัตถูกลดลงเป็นเพียงผู้คอยพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา
แต่ไม่อาจปฏิเสธอำนาจนัตได้อย่างสิ้นเชิง[5]
2.1.2.2 นับถือพระพุทธศาสนาแบบมหายาน สมัยก่อนเมือง “พุกาม” ชื่อว่า
“อริมัททนะ” แปลว่า “ย่ำยีข้าศึก” นับแต่สมัยของพระเจ้าสมมุติราช
จนถึงรัชสมัยของพระเจ้าอนุรุทธ หรือพระเจ้าอโนรธา ตั้งอยู่ที่ริมฝั่ง แม่น้ำอิรวดี
พระพุทธศาสนาเผยแผ่อยู่ที่ อริมัททนะ สมัยนั้นเป็นพระพุทธศาสนานิกายย่อยหนึ่ง แบบมหายาน
ที่ได้รับมาจากอาณาจักรปาละ(Pala) แคว้น เบงกอล ในอินเดีย ที่เบงกอลเขานับถือ
พระโพธิสัตว์ พระโลกนาถ การปฏิบัติของพระสงฆ์สายมหายานในพม่า ไม่เคร่งครัดในพระวินัย
จนถูกเรียกว่า “สมณะกุตตกะ” หมายถึง “สมณะปลอม” หรือ “พระอลัชชี” ดังข้อความในคัมภีร์สาสนวังสะ
เล่าไว้ว่า
“สมณะกุตตกะ
ให้โอวาทด้วยมิจฉาวาทะเป็นต้นว่า ผู้ใดทำปาณาติบาต
(ให้)สวดปริตรบทนี้ จะพ้น(จาก)บาปนั้น ผู้ใดทำอนันตริยกรรมฆ่ามารดาบิดา
ใคร่จะพ้นจากอนันตริยกรรม (ให้)สวดปริตรบทนี้ ก็พ้นได้ ถ้าจะทำการสมรส(อาวาหะวิวาหะ)
ต้องมอบตัว(จ้าสาว)ให้อาจารย์ก่อน ผู้ใดละเมิดจารีตนี้ ผู้นั้น
ต้องประสบบาปอย่างมาก”[6]
ในสมัยที่พระเจ้าอโนรธา ครองราชย์ที่นครอริมัททนะนั้น(พ.ศ.1587-1620) สมณะกุตตกะ มีประมาณ 1,000 พวกๆ ละประมาณ 30 คน รวมจำนวนประมาณ 30,000 คน อยู่ในพื้นที่ เรียกว่า “สะมะติ” พวกเขาอ้างว่า พวกตนก็เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
คำสั่งสอนของพวกตน เป็นทางสู่สวรรค์และมรรคผล คฤหัสถ์ผู้ครองเรือนก็ประพฤติพรหมจรรย์ได้ ในสมัยช่วงแรก
พระเจ้าอโนรธา ทรงมีเลื่อมใสและให้การอุปภัมภ์กลุ่มนักบวชเหล่านี้ตามประเพณี
2.1.3 การนำพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทเข้ามาพุกาม
ต่อมา เมื่อพระเจ้าอโนรธา
ได้พบและสนทนาธรรมกับ “พระธรรมทัสสี” ชาวเมืองสุธรรม อีกนามหนึ่งเรียกว่า “ชิน
อรหันต์” ศิษย์ของพระสีลพุทธิเถระ ท่านเป็นผู้งดงามด้วยสีลาจารวัตรแบบเถรวาท จึงทรงเกิดความเลื่อมใส
และทราบว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรียกว่า พระไตรปิฎก ถูกจารึกลงใบลาน
อย่างสมบูรณ์ เก็บรักษาที่ นครสุธรรม มีถึง 3 ชุด ดังที่ท่านชิน อรหันต์ ถวายเทศนาแก่พระองค์ว่า
“บรรดาศาสนาทั้ง
3 (ปริยัติศาสนา ปฏิบัติศาสนา และปฏิเวธศาสนา) เมื่อปริยัติศาสนามั่นคง
ปฏิบัติศาสนาจึงจะมั่นคง เมื่อปฏิบัติศาสนามั่นคง ปฏิเวธศาสนาจึงจะมั่นคง
เปรียบเหมือน มีโคผู้ตั้ง 100 ตัว 1,000 ตัว แต่ไม่มีโคตัวเมียที่จะรักษาเชื้อสายสืบพันธุ์ สายพันธุ์โค ย่อมจะสูญไป เช่นเดียวกัน
ถ้าพระสงฆ์ปฏิบัติธุดงค์วัตร ตั้ง 100 หรือ 1,000 องค์ ถ้าปริยัติไม่มี
ปฏิเวธก็มีไม่ได้ เหมือน ขุมทรัพย์ที่เราฝังและเขียนป้ายหินบอกที่ฝังเอาไว้ ตราบใด
ตัวหนังสือป้ายบอกยังอยู่ ขุมทรัพย์ก็ยังไม่สูญหาย เช่นกัน ถ้ายังมีผู้เล่าเรียนจดจำปริยัติ
ศาสนาก็ยังไม่สูญหาย และเหมือนอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เมื่อขอบอ่างยังมั่นคง
ก็กล่าวได้ว่า น้ำยังมีอยู่ และเมื่อยังมีน้ำ ก็กล่าวได้ว่า
ดอกบัวยังบานสะพรั่งอยู่ พุทธวจนะคือพระไตรปิฎกยังมีอยู่
เปรียบเหมือขอบอ่างเก็บน้ำใหญ่ยังมั่นคงอยู่ ก็กล่าวได้ว่า
กุลบุตรผู้บำเพ็ญการปฏิบัติซึ่งเปรียบเหมือนน้ำในอ่างเก็บน้ำยังมีอยู่
และเมื่อกุลบุตรผู้บำเพ็ญการปฏิบัติยังมีอยู่ ก็กล่าวได้ว่า ปฏิเวธ
ซึ่งเปรียบเหมือนดอกบัวบานยังมีอยู่ ปริยัตินั่นแหละสำคัญที่สุด
เมื่อปริยัติมีอยู่ ศาสนาก็ถือว่า ยังไม่สูญหาย ถ้าปริยัติสูญหายเสียแล้ว การบรรลุธรรมของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบย่อมมีไม่ได้
...เมื่อปริยัติยังมีอยู่ การบรรลุธรรมจึงมีได้ บัดนี้
ปริยัติศาสนาของเรายังมีไม่ครบ พระสารีริกธาตุก็ยังไม่มี ...บ้านเมืองใดมีปริยัติศาสนาและพระสารีริกธาตุ ควรจะส่งทูต พร้อมบรรณาการไปขอเชิญเอามา
ศาสนาก็จะตั้งมั่นในรัฐของเราตลอดกาล ในเมืองสุธรรม รัฐสุวรรณภูมิ เขาจารพระไตรปิฎกจบ
ถึง 3 ครั้ง เก็บไว้ที่ 3 จบ และพระสารีริกธาตุที่นั่นก็มีมาก”[7]
พระเจ้าอโนรธาจึงส่งราชทูตพร้อมเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้ามโนหาริ(Manohari) เมืองสุธรรม และขอแบ่งพระไตรปิฎก มาสัก 1 สำเนา แต่พระเจ้ามโนหาริ มีพระทัยตระหนี่
นอกจากจะไม่ประทานให้แล้ว แถมยังเยาะเย้ยให้เสียหน้าว่า “พระธรรมของพระพุทธเจ้า ย่อมสมควรแก่ฐานะบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น
พวกท่านเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่สมควรจะได้รับพระไตรปิฎกและพระบรมสารีริกธาตุ”
เมื่อราชทูตกลับมาทูลความให้ทรงทราบ
พระเจ้าอโนรธาทรงกริ้วจัด มีอาการเหมือนงาถูกคั่ว จึงสั่งยกกองทัพ ทั้งทัพเรือ
และทัพบก ไปปราบพระเจ้ามโนหาริ ยึดเมืองสุธรรม
จับพระเจ้ามโนหาริมาควบคุมที่นครพุกาม พร้อมกับสั่งให้อัญเชิญพระไตรปิฎกมาทั้งหมด นอกจากพระไตรปิฎกแล้ว ยังนำพุทธศาสนาแบบเถรวาท โดยนิมนต์พระสงฆ์ที่ทรงพระไตรปิฎกจำนวน
1,000 รูป รับอักษรภาษา และงานศิลปกรรม รวมทั้งกวาดต้อน
(เชิญ)นักปราชญ์ราชบัณฑิต ช่างศิลปกรรมหลวงทุกแขนงไปพุกาม ในคราวเดียวกัน เมื่อปี
พ.ศ. 1600 ดังปรากฏความในพงศาวดารพม่าฉบับหอแก้ว
ความว่า
“พระองค์ตรัสสั่งให้พลทหารเอาพระไตรปิฎก
30 สำรับ บรรทุกหลังช้างเผือก 32 ช้าง [ช้างเผือก 32 ช้างนี้เป็นของพระเจ้ากรุงสระถุง
[สะเทิม – ผู้เขียน)] แล้วพระองค์ทรงตรัสให้พลทหารอาราธนาพระบรมธาตุ พระโลมา
ซึ่งพระเจ้ากรุงสระถุงก่อนๆ ได้ทรงบรรจุไว้ในกระเช้าแก้วรัตนะนั้น
ขึ้นบนหลังช้างเผือก 2 ช้าง แล้วพระองค์ก็รับสั่งให้พระเจ้ากรุงสระถุงแลพระมะเหสีทั้งปวง
กับรับสั่งให้เก็บชาวช่างวิเศษแลช่างต่างๆ
แลพลทหารราษฎรทั้งปวงกับสาตราอาวุธเครื่องประหลาดทั้งปวงเสร็จแล้ว
พระองค์ก็เสด็จกลับกรุงภุกาม…”[8]
เมื่อพระเจ้าอนุรุทธได้พระไตรปิฎกมา
พระองค์ส่งทูตให้ไปเกาะสีหล เพื่อนำพระไตรปิฎกฉบับสีหลมาสอบทานเทียบกับพระไตรปิฎกฉบับนครสุธรรม
ปรากฏว่า ทั้งสองฉบับไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน จึงทรงเก็บรักษาไว้ที่หอไตร
นับแต่นั้นมาพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบพุกาม ก็เจริญรุ่งเรืองในอริมัททนะ และได้แผ่อิทธิพลความรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนา
ไปถึงประเทศชาวพุทธเพื่อนบ้านใกล้เคียง เช่น อาณาจักรล้านนา อาณาจักรล้านช้าง
ต่อมา
“อริมัททนะ” ก็เปลี่ยนชื่อเป็น “พุกาม” มีการอธิบายชื่อเมืองดังนี้ คำว่า “พุกาม” แผลงมา
จาก คำว่า “ปุณณคาม” แปลว่า “บ้านสมบูรณ์”
หรือ เมืองสมบูรณ์ ที่เต็มไปด้วยพระรัตนตรัย จาก “ปุณณคาม” กลายเป็น “ปุคาม”
โดยที่ ปุ(ณณ)คาม ณ เณร กร่อนไป) และกลายเป็น “ปุคํ”
ผู้เขียนขอใช้อัตโนมติเดาคำว่า
“พุกาม” น่าจะมาจาก “พยูคาม” แปลว่า “บ้านชาวพยู” เพราะเคยเป็นเมืองเป็นบ้านของพวกพยู มาก่อน
เหมือคำว่า “ปาฏลีคาม” “รามคาม” ขออย่าถือเอาเป็นประมาณ
2.1.4
พระสังฆปราชญ์ในสมัยพุกาม ในสมัยพุกามนี้ พระสงฆ์ได้ศึกษาปริยัติจนเชียวชาญแตกฉาน
แม่แพ้สมัยพะโค หลายรูปสามารถนิพนธ์คัมภีร์เป็นภาษามคธ(บาลี) ซึ่งเป็นการแสดงภูมิรู้ภูมิธรรม
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
พระอัครวังสะ(พระตติยอัคคบัณฑิต)
นิพนธ์คัมภีร์สัททนีติ หรือคัมภีร์สัททาวิเสส ตำราไวยากรณ์
คู่มือศึกษาศัพทฺนัย อันเป็นรากฐานให้เจ้าใจพระไตรปิฎก ในปีพ.ศ. 1670
รัชสมัยของพระเจ้านรปติ สิทธิสุ ตำราของท่าน ได้รับการตรวจสอบเนื้อหา โดยสังฆปราชญ์ชาวสีหล
และได้รับการสรรเสริญว่า คัมภีร์แบบนี้ ในเกาะ
สีหล ก็ยังไม่ถึงขั้นนี้[9]
พระสัทธรรมสิริเถระ นิพนธ์คัมภีร์
สัททัตถเภทจินดา อธิบายถึงความหมายต่างๆของศัพท์ภาษามคธและเนื้อความอันลี้ลับ
พระสัทธรรมกิตติเถระ นิพนธ์ปทานุกรม
ชื่อเอกักขรโกส ในปี พ.ศ. 2018
สังฆปราชญ์ไทยกับการนิพนธ์คัมภีร์ภาบาลี
การนิพนธ์คัมภีร์ทางศาสนาเป็นภาษาบาลีได้
แสดงถึงภูมิปราชญ์ทางศาสนาของบุคคลเหล่านั้น เกี่ยวกับการนิพนธ์คัมภีร์เป็นภาษาบาลี
พระสังฆปราชญ์ชาวไทย ก็มีฝีมือเชิงนิพนธ์คัมภีร์ภาษาบาลี ไม่น้อยหน้าไปกว่า สังฆปราชญ์ชาวพม่า
จะให้ข้อมูล นับตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยล้านนา
จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พอเป็นสังเขปดังนี้ [10]
พระพรหมราชปัญญา
วัดภูเขาหลวง เมืองสุโขทัย นิพนธ์ “รตนพิมฺพวํส” (ตำนานพระแก้วมรกต) เมื่อพ.ศ. 1972
พระโพธิรังสี
ชาวเชียงใหม่ นิพนธ์คัมภีร์ 2 คัมภีร์ ได้แก่ “จามเทวีวํส” เมื่อพ.ศ. 1950-2000 และ “สิหิงคนิทาน”(ตำนานพระพุทธสิหิงค์)
เมื่อพ.ศ. 1954-2000
พระธรรมเสนาบดีเถระ
ชาวเชียงแสน นิพนธ์ “ปทักกมโยชนาสัททัตถเภทจินตา” พ.ศ. 2020-2045
พระญาณกิตติเถระ
วัดปนสาราม (วัดสวนขนุน) ชาวเมืองเชียงใหม่ พระราชครูของพระเจ้าติโลกราช นิพนธ์ 12
คัมภีร์ ดังนี้ สมันตปาสาทิกาอัตถโยชนา, ภิกขุปาฏิโมกขคัณฐิทีปนี, สีมาสังกรวินิจฉัย, อัฏฐสาลินีอัตถโยชนา, สัมโมหวิโนทนอัตถโยชนา, ธาตุกถาอัตถโยชนา, ปุคคลบัญญัติอัตถโยชนา, กถาวัตถุอัตถโยชนา, ยมกอัตถโยชนา,
ปัฏฐานอัตถโยชนา, อภิธัมมัตถวิภาวินีปัญจิกา อัตถโยชนา, มูลกัจจายนอัตถโยชนา ในช่วง
พ.ศ. 2028-2043
พระสัทธัมมกิตติมหาผุสสเทวเถระ
วัดรัมมะ ชาวเมืองลำพูน ร่วมสมัยพับพระญาณกิตติ นิพนธ์ “สัททพินทุอภินวฎีกา”
ที่อธิบายคัมภีร์ สัททพินทุ ที่นิพนธ์โดยพระเจ้า กยฺจวา แห่งพุกามที่กล่าวมา
ไม่ทราบปีที่นิพนธ์
พระญาณวิลาส
ภิกษุชาวโยนกประเทศ (มีชีวิตร่วมสมัยกับ พระสิริมังคลาจารย์) นิพนธ์ สังขยาปกาสก
พ.ศ. 2058
พระสิริมังคลาจารย์
วัดสวนขวัญ (วัดตำหนัก) ชาวเมืองเชียงใหม่ นิพนธ์ 4 คัมภีร์ ได้แก่ เวสันตรทีปนี
พ.ศ. 2060,
จักวาฬทีปนี, สังขยาปกาสกฎีกา
ปี พ.ศ. 2063, และ มังคลัตถทีปนี พ.ศ. 2067
พระรัตนปัญญาเถระ
ชาวเชียงราย นิพนธ์ 3 คัมภีร์ ได้แก่ ชินกาลมาลีปกรณ์ พ.ศ. 2059, วชิรสารัตถสังคหะ พ.ศ. 2078และ มาติกัตถสรูปอภิธรรมสังคณี,
พระนันทาจารย์
ชาวเชียงใหม่ นิพนธ์ “สารัตถสังคหะ” (ไม่ทราบปีที่นิพนธ์)
พระสุวัณณรังสีเถระ
ชาวเชียงใหม่ (สมัยต่อมาย้ายไปพำนักที่นครเวียงจันทน์) นิพนธ์ 2 คัมภีร์ ได้แก่ คันถาภรณฎีกา พ.ศ. 2128, และ ปฐมสมโพธิกถา
พระมหามังคลสีลวังสะเถระ
วัดโชติการาม ชาวเชียงใหม่ สมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน นิพนธ์ อุปปาตสันติ พ.ศ. 1994 ทางล้านนา เรียกว่า “มหาสันติงหลวง”
ชาวพม่านำไปคัดลอกปริวรรตเป็นอักษรพม่า ภาษาบาลี จารเป็นคัมภีร์ เรียกว่า
“สิริมังคลาปริตตอ”[11]
พระอุตตรารามเถระ
ชาวโยนกประเทศ นิพนธ์ วิสุทธิมรรคทีปนี ไม่ปรากฎปีที่นิพนธ์
พระสังปราชญ์(หลายรูป)
ชาวเชียงใหม่ ไม่ปรากฏนาม นิพนธ์ “ปัญญาสชาดก”หรือ
“พระเจ้า 50 ชาติ” เมื่อช่วง พ.ศ. 2000-2200 ต้นฉบับล้านนา หายไป มีฉบับสำเนาที่คัดลอกปรากฏที่ประเทศลาว
ประเทศกัมพูชา และพม่า ซึ่งพม่าเรียกว่า “ซิมเม่ปัณณาส” หรือ เชียงใหม่ปัณณาส
พระพุทธพุกาม
วัดบุปผาราม(สวนดอก เชียงใหม่) นิพนธ์ ตำนานมูลศาสนา (ภาษาล้านนา)
สมเด็จพระวันรัตน์
วัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม นิพนธ์ 3
คัมภีร์ ได้แก่ สังคีติยวํส พ.ศ. 2332, จุลยุทธกาลวํส,
และ มหายุทธกาลวํส นิพนธ์ในสมัยรัชกาลที่ 1
พระวิชิรญาณภิกขุ,
(พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 ครั้งผนวช) นิพนธ์ บทสวด บันทึกการเดินทาง
และบทวิจารณ์ ที่เป็นภาษาบาลี ช่วง พ.ศ. 2380-2394
2.1.5
ปราชญ์ฆราวาส สมัยพุกาม
ในอาณาจักรพุกาม
ความเป็นปราชญ์ทางศาสนาที่สามารถนิพนธ์คัมภีร์ มิได้จำกัดวง เฉพาะต้องเป็นสังฆะ
หรือ บรรพชิตเท่านั้น คฤหัสถ์ที่มีภูมิรู้ภูมิธรรมทางศาสนาและภาษามคธดี ก็สามารถนิพนธ์ตำราได้
มาดูว่า เป็นผู้ใดบ้างในสมัยอาณาจักรพุกาม
พระเจ้ากยฺจวฺา ชาวไทยเรียกว่า “กะยอชะวา”
ตามพระนามาภิไธยว่า “พระธรรมราชา” ครองนครพุกาม พ.ศ. 1762
พระองค์ทรงแตกฉานในพระไตรปิฎก เชี่ยวชาญในภาษาบาลี นิพนธ์คัมภีร์ ชื่อ
“สัททพินทุ” และ “ปรมัตถพินทุ”
จากคัมภีร์ สัททพินทู ฉบับย่อของพระเจ้ากยฺจวา พระสงฆ์ไทยนามว่า “พระสัทธัมมกิตติมหาผุสสเทวเถระ”
วัดรัมมะ ชาวเมืองลำพูน ได้นิพนธ์ “สัททพินทุอภินวฎีกา”
อธิบายสูตรย่อให้เข้าใจมากขึ้น
แม้แต่พระราชธิดาของพระเจ้ากฺยจฺวา
ก็ทรงมีความสามารถนิพนธ์คัมภีร์ ชื่อ “วิภัตยัตถะ.อีกด้วย
อันที่จริง ในสมัยพุกาม ยังมีพระราชา สังฆปราชญ์
และเมธีฆราวาส ที่นิพนธ์คัมภีร์ทางศาสนา แปลภาษาบาลีสู่ภาษาพม่าอีกจำนวนมาก
เห็นว่า ข้อมูลส่วนนี้พอจะหาอ่านสืบค้นได้โดยทั่วไป หากนำมาใส่ในรายละเอียด
เนื้อหาจะมากเกินไปไปจึงขอข้ามไป
2.1.6 การเขียนพระไตรปิฎกลงในเล่มสมุดทารักปิดทอง (เอกลักษณ์ของพม่า)
ธรรมเนียมการจารคัมภีร์ทางศาสนา
เช่น พระเวท พระไตรปิฎก ในกลุ่มประเทศเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ลังกา
เนปาล หรือ กลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ย้อนอายุไปถึง 5 ศตวรรษ
ก่อนคริสตศักราช ที่นิยมจารลงในใบลาน เพราะวัสดุใบลานอายุการใช้งานที่ยาวนาน
บางคัมภีร์ที่เก็บรักษาอย่างดี มีอายุถึงปัจจุบัน(พ.ศ.2562) ได้ 1,291 ปี คือจารในช่วง
คริสตวรรษที่ 9 ระบุประมาณ ปี ค.ศ. 828 (พ.ศ.1371) เป็นคัมภีร์ใบลานที่มีอายุมากที่สุดในโลก
ได้แก่ คัมภีร์ ชื่อ Pārameśvaratantra (ปรเมศวรตันตระ), หมวด
Śaiva Siddhānta (ศิวสิทธานตะ) ของศาสนาฮินดู
ที่จารึก ด้วยภาษาสันสกฤต พบที่ประเทศเนปาล
ปัจจุบัน เก็บรักษาไว้ที่ ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร์ [12] ส่วนที่ประเทศไทย
พบคัมภีร์ใบลานที่มีอายุเก่าที่สุด เป็นอันดับ 2 ของโลก มีอายุประมาณ 550 ปี คือ คัมภีร์ “ติงสนิบาต” จารโดย พระญาณรังสี
เมื่อ ปี พ.ศ. 2014 ใช้ภาษา บาลี
และภาษาล้านนา จารด้วยอักษรยวน หรือ ล้านนา ยังเก็บรักษาอยู่ในสภาพดี พบที่
วัดไหล่หิน ตำบลไหล่หินอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
เราทราบมาว่า หลังการทำสังคายนาครั้งที่ 4
ที่ประเทศศรีลังกา พระสงฆ์ก็ได้จารพระไตรปิฎก
คำสอนทางพระพุทธศาสนาที่แต่ก่อนสืบทอดโดยปากสู่ปาก ลงสู่ใบลาน ในปี พ.ศ. 433
แต่ฉบับดั้งเดิมคงเสื่อมสูญสลายไปตามกาลเวลา แต่มีการจารคัดลอกจากรุ่นสู่รุ่น
เพราะการรักษาคำสอนด้วยการคัดลอกคัมภีร์
นอกจากจะเป็นสืบอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวถึง 5000 พระวัสสาแล้ว
ผู้จารคัดลอกคัมภีร์ หรือผู้อุปถัมภ์การคัดลอกคัมภีร์ ถือว่าได้สร้างมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ เสมือนการสร้างพระพุทธรูปไว้บูชา ตีคุณค่าว่า “การจารอักขระคำสอนแต่ละตัว
มีค่าเสมอเท่ากับการสร้างพระพุทธรูปแต่ละองค์ๆ ดังคำประพันธ์เป็นคาถาบาลี ในท้ายคัมภีร์
“สาสนวํส” ว่า
อกฺขรา
เอกํ เอกญฺจ พุทฺธรูปํ สมํ สิยา
แปลความโดยศาสตราจารย์
แสง มนวิทูร)ว่า “อักษรตัวหนึ่ง เท่ากับพระพุทธรูปองค์หนึ่ง
เพราะฉะนั้น คนที่เป็นบัณฑิต
ควรเขียน(พิมพ์) พระไตรปิฎกเถิด”
นอกจากใบลานแล้ว
วัสดุอื่นที่นำมาจารึกคัมภีร์ ก็มีหลายอย่าง เช่น เปลือกต้นไม้ กาบหมาก กาบอินทผะลำ ซี่ไม่ไผ่
แผ่นไม้
แผ่นทำจากเยื่อไม้(กระดาษปาปิรัส สมุดข่อย กระดาษสา) หนังสัตว์ เขาสัตว์
งาช้าง กระดูกสัตว์ แผ่นทองเหลือง-ทองแดง แผ่นสังกะสี ผืนผ้าและเท่าที่หาได้
การทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่
4 ในประเทศอินเดีย ประมาณพ.ศ.643 โดยพระเจ้ากนิษกมหาราช ที่นครกัสมีระ
ได้จารึกพระไตรปิฎก(ฉบับภาษาสันสกฤต) และอรรถกถาลงในแผ่นทองแดง
โดยทั่ว
หากเป็นคัมภีร์สำคัญทางศาสนา ชาวพุทธที่ลังกา พม่า ไทย ลาว กัมพูชา
นิยมใช้ใบลานจารและเก็บเป็นผูก รักษาไว้ที่หอไตร หากเป็นหนังสืออื่น
นอกจากคัมภีร์ทางศาสนา แม้จะใช้ใบลานจารึก แต่เป็นใบลาน ขนาดเล็ก หรือ สั้นบ้าง แต่จะนิยมจารึกด้วยวัสดุอื่นๆ
ทำนองเล่มสมุด หรือ พับสา
จุดเปลี่ยนการเขียนพระไตรปิฎกจากใบลานสู่เล่มสมุดของพม่า
ประมาณ
ปีพุทธศักราช 2219 หรือ จุลศักราช 1038 ในรัชสมัยของพระเจ้าสิริปวรมหาราชา
พระองค์ทรงโปรดให้สร้างพระไตรปิฎก โดยเอาสมุดมาขัดด้วยน้ำรักน้ำเกลี้ยง
แล้วเขียนอักษรด้วยหรดาล(อ่านว่า หอระดาน) ปิดทองคำ เป็นลายรดน้ำ นับแต่นั้นเป็นต้นมาจนทุกวันนี้
ในรัฐพม่า ใช้เขียนหนังสือกันด้วยวิธีนี้[14]
2.1.7 พุกาม นครแห่งพระสถูปเจดีย์ 4,000 องค์
เมื่อไปถึงพุกาม
ก็เห็นพุกามใหม่ และพุกามเก่า
ก่อนเข้าเขตนครโบราณก็เห็นพระสถูปเจดีย์เรียงรายตามหมู่บ้านในเส้นทางเป็นระยะห่าง
แต่เห็นทุกหมู่บ้านมีพระเจดีย์ ทาสีทองอร่าม ยิ่งเข้ามาในพื้นที่โบราณ จำนวน วัดและพระเจดีย์ ขนาดต่างๆ
มีมากละลานตาไปหมด มองไปทางใด สุดขอบฟ้า สุดสายตาเรา จะเห็นแต่ยอดพระเจดีย์
ซ้อนๆกันเต็มพื้นที่ สมแล้วที่เขาเรียกว่า เมืองแห่งทะเลพระเจดีย์ เคยอ่านนิราศนรินทร์
โคลงบทที่ 3 ที่กวีพรรณนาความรุ่งเรืองพระพุทธศาสนาในไทย
ตอน “รินรสพระธรรม” ว่า
เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น พันแสง
รินรสพระธรรมแสดง ค่ำเช้า
เจดีย์ระดะแซง เสียดยอด
ยลยิ่งแสงแก้วเก้า แก่นหล้าหลากสวรรค์
[15]
แสดงว่า เพียงแค่ นครบางกอก ในสมัยรัชกาลที่
2 วัดวาอารามเจริญรุ่งเรือง มองไปทางใด ก็เห็นยอดพระเจดีย์จากวัดต่างๆ สูงเสียดฟ้า
ซ้อนๆกันสุดสายตา น่าอัศจรรย์ ยิ่งนัก นั่นที่เมืองไทย
แต่เมื่อมาถึงพุกาม
ได้เห็นของจริง โอ.. ธัมโม.. สังโฆ... สถานที่ตั้งพระเจดีย์ ก็คือวัดต่างๆ พระเจดีย์ที่มีขนาดมหึมา
ใหญ่โตพอๆ กับพระปฐมเจดีย์ ที่จังหวัดนครปฐม เท่ากับพระเจดีย์ภูเขาทอง ที่วัดสระเกศ หรือ
ขนาดเท่ากับพระปรางวัดอรุณ กรุงเทพฯ มีจำนวนเป็นครึ่งร้อยองค์ พระเจดีย์ที่มีขนาดย่อมลงมา
เท่ากับพระเจดีย์วัดพระเชตุพนฯ ท่าเตียน จำนวนเป็นพันองค์
ที่มีขนาดกระปริดกระปรอย เท่าพระเจดีย์ที่เราสร้างในวัดทั่วๆไป
มีจำนวนหลายพันองค์ สมแล้วที่เรียกว่า “นครแห่งทะเลเจดีย์”
แต่ก่อน
พุกามในสมัยรุ่งเรือง (มีระยะการปกครอง 250 ปี) เคยมีเจดีย์มากมายถึง 10,000(หมื่น)องค์
ที่ทำการสำรวจและบันทึกเอาไว้มีจำนวน 4,446 องค์ ปัจจุบัน เหลือพระเจดีย์เพียงแค่
2,217 องค์(หายไปครึ่งหนึ่ง) ทั้งนี้
เพราะเสื่อมและทรุดโทรมไปตามกาลเวลาบ้าง ถูกรื้อถอนเอาอิฐมาสร้างเป็นกำแพงเมือง ทำหอรบในสงครามครั้งสุดท้ายของพุกาม
กับพระเจ้ากุบไลข่าน แห่งมองโกลบ้าง ที่น่าเสียดายมากก็คือ
ภัยจากธรรมชาติ เมื่อ 2 ปี ที่ผ่านมา ประเทศพม่าประสบกับแผ่นดินไหวใหญ่ เมื่อวันที่
24 สิงหาคม 2559 เวลา 16.40 น.(เวลาท้องถิ่น)
มีข่าวรายงานว่า พระเจดีย์โค่นล้มเสียหายไปกว่า 66 องค์ แต่มีรายงานบันทึกว่า
เสียหายประมาณ 4 หลัง ในคราวแม่น้ำอิรวดีเกิดน้ำท่วมใหญ่ น้ำล้นตะหลิ่ง พลังน้ำได้กัดเซาะตะหลิ่งเข้ามาถึงฐานพระเจดีย์ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ
และกระแสน้ำได้ดูดกลืนพระเจดีย์ทั้งองค์พังทะลายหายวับไปต่อหน้าต่อตา นับแต่นี้ไป พระเจดีย์ที่พุกามก็ยิ่งนับวันจะเหลือน้อยลงไปทุกที
พระเจดีย์สำคัญที่พุกาม
คือ พระมหาธาตุเจดีย์ชเวสิกอง (Shwezigon
Pagoda) เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ สวยงาม มีความสูงราว 53 เมตร หรือ 160
ฟุต สร้างถวายเป็นพุทธบูชา โดยพระเจ้าอนุรุทธ เพื่อบรรจุพระสารีริกธาตุส่วนพระนลาฏที่นำมาจาก
สุธรรมนคร และ พระทันตธาตุ(พระเขี้ยวแก้ว) ที่อ้างว่า ได้รับมาจากศรีลังกา เป็นเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่อีกแห่งหนึ่ง
เป็นที่เคารพนับถือของชาวพม่า และนับเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของประเทศพม่า คือ
1.
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง บรรจุพระเกศาธาตุ นครย่างกุ้ง
2. พระมหาธาตุเจดีย์ชเวสิกอง
บรรจุพระสารีริกธาตุส่วนพระนลาฏ และพระทันตธาตุ แห่งพุกาม
3. พระเจดีย์ชเวมอดอว์
หรือ พระธาตุมุเตา เป็น เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหงสาวดี มีอายุเก่าแก่ยาวนานกว่า
2,000 ปี
4. พระเจดีย์ชเวซานดอร์
เมืองแปร(บางข้อมูล ให้นับพระธาตุอินแขวนแทนพระเจดีย์องค์นี้) และ
5.
พระมหามัยมุนี วัดมหามัยมุนี แห่งเมือง มัณฑะเลย์
พระเจดีย์ที่สูงที่สุดคือ
พระเจดีย์วัดสัพพัญญู(Thatbyinnyu
Temple) เป็นเจดีย์เก่าแก่ของเมืองพุกาม สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่
12 โดย พระเจ้าอลองสิทธู เป็นเจดีย์ที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดในบรรดาเจดีย์หลายพันองค์ทั่วเมือง
โดยมีความสูงอยู่ที่ 61 เมตร ภายในมี 5 ชั้น
เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปน้อยใหญ่ และมีส่วนที่เป็นหอพระไตรปิฎก
วัดที่ใหญ่อีกวัดหนึ่งวิหารธรรมยังจี (Dhammayangyi Temple)
สร้างขึ้นด้วยอิฐสีแดง อิฐทุกก้อนสมานกันแนบสนิท แม้เข็มเพียง 1 เล่ม ก็สอดเข้าไปไม่ได้
วัดที่สวยงามมีศิลปะแบบพุกาม
ที่ละเลยมิได้เลยคือ วัดอานันดา หรือ อานันทะ วัดอนันดา สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1633
ในสมัยของพระเจ้าจันสิทธา กษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งอาณาจักรพุกาม
เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนภูเขานันทมูล พื้นที่ของวัดอนันดา มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส
และมีซุ้มประตูสี่ทิศ รูปทรงเหมือนไม้กางเขนแบบตะวันตก เป็นวิหารที่เดินเข้าไปชมข้างในได้ มีซุ้ม 4
ซุ้ม ประดิษฐาน พระพุทธรูปยืนจาก ไม้สักแกะสลักท่อนเดียว สูง 9.5 เมตร ปิดทองทั้งองค์ มีจำนวน
4 องค์ ใน 4 ทิศ อยู่ภายในพระวิหาร เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้ว 4 พระองค์
[16]
ชาวพุทธพม่าจึงนิยมสร้างพระสถูปเจดีย์
ขนาดที่พุกามถูกเรียกว่า ทะเลพระเจดีย์ ?
พระสถูป
หรือ พระเจดีย์ ได้แก่ สิ่งที่ก่อขึ้น ที่เคารพบูชา สิ่งที่เตือนใจให้ระลึกถึง ในที่นี้หมายถึง
สถานที่หรือสิ่งที่เคารพบูชาเนื่องด้วยพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา เรียกเต็มว่า
สัมมาสัมพุทธเจดีย์ หรือ พุทธเจดีย์ เป็นที่เก็บอัฐิธาตุ สารีริกธาตุ อังคารธาตุ
หรือ อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของผู้ที่เราเคารพนับถือ เช่น พระศาสดา พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระอรหันตสาวก หรือ พระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม
และทำการกราบไหว้บูชา ผู้ที่เราควรเก็บธาตุและสร้างสถูปไว้บูชาเรียกว่า (ถูปารหบุคคล)
การสร้างสถูป หรือเจดีย์ นับว่าเป็นการสร้างมหาบุญที่ยิ่งใหญ่ (ตำนานนอกพระไตรปิฎก
ยังอ้างว่า ผู้ใดทำอนันตริยกรรม เช่น ปิตุฆาต มาตุฆาต ก็สร้างพระเจดีย์ หรือธาตุ
ไถ่โทษบาปหนักได้ เช่น นิทานพระธาตุกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เป็นต้น) อานิสงส์ผู้สร้างสถูปเจดีย์ และบูชาพระเจดีย์จะไม่ไปสู่อบายภูมิ
มีสุคติเป็นที่หวัง ดังความในมหาปรินิพพานสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า
“ถูปารหบุคคล
4 จำพวก คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า สาวกของพระตถาคต พระเจ้าจักรพรรดิ ...บุคคลมีจิตให้เลื่อมใสว่า
นี้เป็นสถูปของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า...เป็นสถูปของพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า...เป็นสถูปของสาวก..เป็นสถูปของพระธรรมราชา...พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว
ครั้นสิ้นชีวิต ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”[17]
และที่ทรงตรัสเกี่ยวกับสังเวชนียสถานทั้ง
4 ว่า เป็น “เจดีย์” ที่เรียกว่า บริโภคเจดีย์ ในเจดีย์ 4 ประเภท คือ (1)
ธาตุเจดีย์ (เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ)
(2) บริโภคเจดีย์ (เจดีย์คือสิ่งหรือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยทรงใช้สอย
อย่างแคบหมายถึงต้นโพธิ์ อย่างกว้าง หมายถึงสังเวชนียสถาน) (4)
ตลอดจนสิ่งทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าเคยทรงบริโภค เช่น บาตร จีวร และบริขารอื่นๆ
เป็นต้น (3) ธรรมเจดีย์
(เจดีย์บรรจุพระธรรม เช่น บรรจุใบลานจารึกพุทธพจน์แสดงหลักปฏิจจสมุปบาท
เป็นต้น (4) อุทเทสิกเจดีย์
(เจดีย์สร้างอุทิศพระพุทธเจ้า ได้แก่ พระพุทธรูป) [18]
ดังความปรากฏในมหาปรินิพพานสูตรว่า
สังเวชนียสถาน 4 แห่ง เป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา
คือ (1) สถานที่พระตถาคตประสูติ
(2)
สถานที่พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (3) สถานที่พระตถาคตทรงประกาศธรรมจักรและ
(4) สถานที่พระตถาคตเสด็จปรินิพพาน ... ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
จักมาด้วยความเชื่อว่า พระตถาคตประสูติในที่นี้...ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้...แสดงธรรมจักร...ปรินิพพานในที่นี้
...เที่ยวจาริกไปยังเจดีย์
มีจิตเลื่อมใสแล้ว จักทำกาละลง...จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์[19]
ผู้เรียบเรียงพอจะถอดกระแสนิยมการสร้างพระสถูปเจดีย์ของชาวพุทธพม่าได้
ดังนี้
ประการที่ 1 เป็นการสร้างมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต
ด้วยยึดถือทิฏฐานุคติจากคำสั่งสอนในมหาปรินิพพานสูตร
ทั้งด้วยคติการสร้างมหากุศลที่ชาวพม่าถือตามประเพณีว่า “การทำบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ก็คือการได้สร้างพระเจดีย์ หรือร่วมสร้างพระเจดีย์ จะได้ผลานิสงส์มหาศาล” กษัตริย์ ขุนนาง เศรษฐี คหบดี พระสงฆ์
และชาวบ้านจึงถือเป็นประเพณีว่า เมื่อมีความสามารถก็ต้องสร้างพระเจดีย์และสร้างวัด
ประการที่ 2 เป็นการสร้างอนุสรณ์สถานและอนุสาวรีย์ประจำตะกูล
จากตำนานปรัมปรา
นับแต่นับถือพระพุทธศาสนา เมืองพม่า อุดมไปด้วยพระธาตุของพระพุทธเจ้า
และพระอรหันตธาตุ เช่น ตปุสสะ ภัลลิกะ นำพระเกศาธาตุที่ได้รับประทานจากพุทธเจ้า 8
พระองค์ แล้วมาสร้างพระเจดีย์ชเวดากอง บรรจุพระเกศาธาตุเอาไว้บูชา
ที่อุกกละ(ย้างกุ้ง), พระเจ้าทวัตโปงคะ เมืองศรีเกษตร สร้างพระเจดีย์ 6 องค์, ที่เมืองพะโค
หรือ หงสาวดี มีพระเจดีย์ชื่อ ชเวดอมอร์ หรือพระธาตุมุเตา ที่เมืองสะเทิม หรือ สุธรรมวดี
การพระศาสนารุ่งเรือง พระสงฆ์ทรงไตรปิฎก พระราชารอบรู้พระไตรปิฎก มีการสร้าสถูปเจดีย์ที่บรรจุพระสารีริกธาตุมากมาย
เมื่อพระอนุรุทธ ปราบราชามโนหาร์ได้ ก็ให้นำพระสารีริกธาตุ โดยเฉพาะ
พระธาตุส่วนพนะนลาฏ และ พระทันตธาตุ จากสุธรรมนคร มาสร้างพระเจดีย์ชเวซิกองเป็นแบบอย่าง
จากนั้น อนุชนราชา ต่างก็ได้ถือเป็นธรรมเนียมว่า ใครเป็นกษัตริย์ก็ต้องสร้างวัดและพระเจดีย์ประจำรัชกาล
เป็นเวลา 250 ปี หากนับคร่าว สร้างปีละ 10 พระเจดีย์หรือวัด ก็จะมีเกือบ 3,000
พระเจดีย์
ประการที่ 3 เป็นการสร้างเพื่อประดิษฐานสิ่งเคารพบูชาอื่น ๆ การสร้างพระเจดีย์วิหาร
ที่เป็นสถาปัตยกรรมทางศาสนา นอกจากการสร้างเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือ พระธาตุแล้ว
ยังสร้างเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป
พระพุทธบาท พระไตรปิฎก ถือว่าเป็นการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา ได้อานิสงส์มหาศาล
เรื่องความเชื่อทำนองนี้ มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์อปาทาน
พระสุตตันตปิฎกที่เล่าถึงบุรพกุศลที่พระเถระ พระเถรี ที่ทำในบางก่อน
ที่เกี่ยวกับการสร้างพระเจดีย์ สร้างวิหาร หรือการกราบไหว้บูชาพระเจดีย์วิหาร
ทางล้านนาก็มีคัมภีร์อานิสงส์การสร้างเจดีย์ หลายสำนวน โดยอ้างพระปิณฑธานเถระ
ที่ถวายเพียงก้อนดิน 1 ก้อน ช่วยเขาสร้างพระเจดีย์ ยังได้อานิสงส์ บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้
(โปรดอ่านต่อตอนที่ 5)
(โปรดอ่านต่อตอนที่ 5)
[1]
ศาสนวงศ์, หน้า 56.
[2] สาสนวํส,
หน้า 54-55.
[3]
ดวงกมล การไทย, (2559), เมียนมา – ศาสนาและความเชื่อ,
บทความลงในฐานข้อมูลสังคม – วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Database of
Southeast Asian Sociocultural Information) เมื่อวันที่ 5 ส.ค.
2559. สืบค้นจาก http://www.sac.or.th/databases/southeastasia/subject.php?c_id=6&sj_id=57 วีนที่ 26 พฤษภาคม 2562.
[6] สานสวํส,
หน้า 64-65.
[7]
สาสนวํส, หน้า 92-93.
[8] พงศาวดารพม่าฉบับหอแก้ว แปลโดย นายต่อ. (2545). มหาราชวงษ์ พงศาวดารพม่า. กรุงเทพฯ : มติชน.
ข้อมูลจากเพจ: รามัญคดี – MON Studies. เขียนโดย อาโด๊ด วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2561
[9] สาสนวํส,
หน้า 111.
[11]
พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์, (2556), เวสสันตรทีปนี :
สารคุณค่าและนัยสำคัญต่อวิถีสังคมและวัฒนธรรมล้านนา, ในหนังสือ ตามรอยพระสิริมังคลาจารย์,
เชียงใหม่ :
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิยาเขตเชียงใหม่, หน้า 25-27.
[12] https://en.wikipedia.org/wiki/Palm-leaf_manuscript สืบค้น วันที่ 21 พฤษภาคม 2562 HomeSanskrit Manuscripts
MS
Add.1049.1
Pārameśvaratantra (MS Add.1049.1)
One
of the oldest known dated Sanskrit manuscripts from South Asia, this specimen
transmits a substantial portion of the Pārameśvaratantra, a scripture of the
Śaiva Siddhānta, one of the Tantric theological schools that taught the worship
of Śiva as "Supreme Lord" (the
literal meaning of Parameśvara). No other manuscript of this work
is known, but nine chapters are transmitted in the Prāyaścittasamuccaya of Hṛdayaśiva
(see Add.
2833), where
the work is referred to as the Puskaratantra or Puṣkara-Pārameśvaratantra
(see
Goodall 1998, particularly p. xliii). According
to the colophon, it was copied in the year 252, which some scholars judge to be
of the era established by the Nepalese king Aṃśuvarman (also
known as Mānadeva), therefore corresponding to 828
CE.
[13]
สาสนวํส, หน้า 192.
[14]
สาสนวํส, หน้า 171.
[15] นิราศนรินทร์,
แต่งโดยนายนรินทร์ธิเบศ(อิน), 2352, อ้างอิงจาก พ. ณ ประมวญมารค, (2513), นิราศนรินทร์คำโคลงและนิราศปลีกย่อย. พระนคร :
แพร่พิทยา..
[16] https://palanla.com/index.
[17]
ที.ม.(มหาปรินิพพานสูตร), 9/134/
[19] ที.ม.(มหาปรินิพพานสูตร), 9/131/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น