คิดอย่างไท
และเป็นไท
มีความคิดที่อยากแสดงกับผู้อ่านก็คือ
การคิดอย่างไทและเป็นไท
คนทางตะวันออกส่วนมากมักจะถูกดูหมิ่นในเชิงกระบวนความคิดความอ่านว่า
ลอกกากเดนตะวันตกมาทั้งดุ้น ก๊อปเขามาทั้งหมด คิดอะไรเองไม่เป็น จึงถูกจูงจมูก ตกเป็นทาสทางความคิด เป็นเมืองขึ้นแบบแดนอาณานิคม
ชนิดที่หาโอกาสปลดเปลื้องตนได้ยาก พอฝรั่งคิดเขียนอะไรมา ก็เออ ออ ห่อหมกว่า
สุดยอด รับมาทั้งหมด โดยไม่ได้คัดกรองว่า จะเหมาะกับสภาพสังคมของตนไหม
ระบอบการเมืองการปกครอง
ที่เขาชี้ว่า เป็นระบอบที่เลวน้อยที่สุด ประเทศทางตะวันออก ก็สำเนาทฤษฎีการเมืองการปกครองจากตะวันตกมาชนิดที่ไม่ขาดหายแม้แต่ข้อเดียว
ระบบสาธารณะสุขเอย ระบบสื่อสารเอย ระบบเศรษฐกิจเงินทุน
ธนาคารเหล่านี้ชาวตะวันออกคิดระบบที่เป็นของตนเองไม่เป็น
ทางที่ดีเมื่อมีใครไปเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนามาก็เลยมาปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีดำเนินงานด้านต่างๆที่กล่าวมาแล้วให้เป็นแบบตะวันตก
เพราะเขาการันตีว่า มันทันสมัย
มิได้ปฏิเสธตะวันตกทั้งหมดว่า ไม่ดี เพราะบางอย่างแบบตะวันตกก็คิดมาดี เพราะคนของเขาเอาจริงเอาจัง
การที่เขาสามารถคิดเอาจริงเอาจัง และสามารถสรรค์สร้างผลงานอมตะแก่สังคมโลกได้นั้น
ประการหนึ่ง เพราะเขาเป็นไททางความคิด ไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบทางวัฒนธรรม และประเพณีความเชื่อ
ที่แห่ตามกันมา เขาจึงคิดอะไรที่ล้ำหน้า แปลกไปกว่าคนในสังคมของเขาที่จะคาดคิดได้
เรียกว่า ก้าวล่วงหน้าไปหลายไมล์
เช่น กรณีคนอยากบินไปในอากาศได้เหมือนนก
เขาก็คิดเครื่องบินขึ้นมาได้ อยากอยู่ในน้ำได้เหมือนปลา ก็สร้างเครื่องประดาน้ำ
และเรือดำน้ำขึ้นมา อยากสื่อสารกันในระยะทางที่ไกลพร้อมกับการเห็นหน้า
ก็สร้างโทรศัพท์ วิทยุโทรทัศน์ขึ้นมา อยากให้มนุษย์มีอะหลั่ยเหมือนเครื่องจักเครื่องกล
ก็คิดทำการโคลนนิ่งมนุษย์ขึ้นมา
การคิดพิเรน ๆ อย่างนี้
หากเกิดในสังคมตะวันออก โดยเฉพาะที่เมืองไทย เขาจะถูกหาว่า นายนี้ไม่บ้าก็บอ
ใจวิปริต จิตวิปลาส เป็นคนหลุดโลก แต่ถ้าเกิดในสังคมตะวันตก เขากลับมองว่า นั่นคือความคิดสร้างสรรค์
และเขาเป็นอิสระที่จะคิดและทดลอง โดยที่สังคมไม่เข้าไปยุ่มย่ามมากนัก
ถ้าการคิดค้นนั้น ไม่กระทบต่อความมั่นคงและการดำรงอยู่อย่างสันติ
ผิดศีลผิดธรรมที่ทำให้สังคมลำบาก ที่เห็นเข้าไปก้าวก่ายบ้าง ก็ดูจะเป็นเพียงสายศาสนาที่กัดไม่ปล่อย
เอาจริงเอาจัง บางยุคบางสมัย คนคิดเรื่องใหม่ ๆ กลับถูกหมายปองชีวิตก็มีถมไป
แต่เขาก็สู้จนเป็นอิสระ เป็นไททางความความคิด
และสร้างประโยชน์แก่โลกมานักต่อนักแล้ว
ขอย้อนมาที่เมืองไทยบ้านเรา อยากตั้งคำถามว่า ตอนนี้พวกเราเป็นอิสระทางความคิดกันพอหรือยัง
มีเสรีภาพทางวิชาการกันหรือยัง เห็นแต่ว่า พอใครจะคิดเรื่องอะไร จะทำอย่างไร
ก็เอากรอบทางกฎหมายมาจับ อ้างกรอบทางประเพณีและอิงวัฒนธรรมมาเป็นเกณฑ์วัด
และตีฝีปาก ตีความกันพวกอื่นเอาไว้ก่อน ชี้แต่ว่าไม่ได้ ๆๆๆ และที่จะได้นั้น
จะต้องทำอย่างไร ไม่บอก... กลับนั่งนิ่งอมน้ำลายเอาไว้
ไม่ได้คิดแก้ไขหรือหาทางออกประการใดเอาไว้
ขอเสนอความคิดว่า อะไรที่ว่าไม่ได้ เช่น
ผิดประเพณีอย่างนั้นอย่างนี้ ลงมือตรวจสอบกันหน่อยสิ
ใช้หลักกาลามสูตร อย่าเชื่อประเพณีมากนัก
บางทีที่เราว่า ผิดประเพณี อันที่จริง ประเพณีที่ยึดตามกันมาผิดหรือไม่
ที่กันท่าว่า ผิดกฎหมายๆๆ ตรวจสอบเจตนารมณ์การออกกฎหมายให้ดีสิ เราตีความผิด ถือเอากฎหมายผิดหรือไม่
จะเป็นไปได้ไหม ที่จะกล้าชี้ว่า ตัวปัญหา ก็คือ
เจ้าตัวบทกฎหมายที่บัญญัติมานั้นแหละผิดเสียเอง
หลายปีมานี้ ดูเรื่องวิวาทะในการที่มีผู้หญิงคนหนึ่งบวชมาแล้ว
และมาขอสถานภาพเป็นภิกษุณี ให้มหาเถระสมาคมรับรองฐานะ กลุ่มที่ยึดถือวินัยก็บอกว่าไม่ได้
ๆ ลองตรวจสอบพระวินัยดูสิว่า จะมีช่องทางใดให้เขาได้ปฏิบัติธรรมตามที่เขาชอบ
โดยไม่อ้างระเบียบ ข้อบังคับนั่น ๆ นี่ ๆ ให้มากขี้ควายหลายขี้ช้าง หากพระวินัยไม่มีช่องทางให้เดิน
จะมีช่อทางอื่นไหม ที่ว่า มิใช่การปรับวินัยให้เข้ากับคน แต่อยากถามนอกกรอบว่า ศาสนาพุทธแบบเถรวาทในประเทศอื่น ๆ อย่างศรีลังกาเป็นเถรวาทเหมือนพุทธไทย
เขามีธรรมเนียมปฏิบัติกันอย่างไรในเรื่องนี้ เหตุใดศรีลังกาจึงสามารถตัดต่อพันธุกรรมให้เกิดภิกษุณีขึ้นมาได้?? มันน่าจะมีอะไรพอเป็นทางออกอยู่ที่ปลายอุโมงค์ หรือ ตันไม่มีทางออก
อีกประเด็นร้อนๆ ตอนนี้
คณะปฏิรูปศาสนา ต้องการปฏิรูปพระพุทธศาสนาในไทย ทั้งการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ การที่พระสงฆ์ต้องเสียภาษีรายได้
และกำหนดว่า ผู้บวชต้องสละโลกิยวิสัย มุ่งนิพพานเท่านั้น มองในมุมหนึ่งก็ควรไตร่ตรองผลดีผลเสียรอบด้านมิใช่มองเพียงด้านเศรษฐกิจ
ด้านกฎหมาย เฉพาะหน้า มองให้ไกล อ่านให้ทะลุ ว่า ปมมันอยู่ที่ใด
เจตนาของผู้โยนหินถามทางต้องการอะไร ก็ควรตรวจสอบด้วย
อยากคิดอย่างไทเช่นนี้ เพราะยึดหลักกาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ในพระไตรปิฎก
หากผมคิดผิด พร้อมที่จะแก้ทิฐิ หากพอจะมีส่วนคิดถูกอยู่บ้าง ก็ควรสนับสนุนให้เกิดการคิดทางสร้างสรรค์ให้มากยิ่งขึ้น
เพราะการคิดเพื่อจรรโลงบ้านเมืองและศาสนานั้น มิใช่คิดด้านเดียว
คำตอบเดียวก็เพียงพอแล้ว..ทางเลือกต้องมีให้เดิน...
พิสิฏฐ์
โคตรสุโพธิ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น