พระมหาเวสสันตรทีปนี :
สาระ คุณค่า และนัยสำคัญต่อวิถีสังคมและวัฒนธรรมล้านนา
-----------------------พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์
1. ความเป็นมา
มหาเวสสันดร
เป็นชาดกสำคัญเรื่องหนึ่งในบรรดาอดีตชาติ 10 เรื่อง(ชาวไทยนิยมเรียกว่า
พระเจ้า 10 ชาติ) ได้แก่ เตมิยชาดก, มหาชนกชาดก,
สุวรรณสามชาดก, มโหสถชาดก, ภูริทัตตชาดก, จันทกุมารชาดก, มหานารทกัสสปชาดก,
วิธุรชาดก, และมหาเวสสันดรชาดก (ที่เรียกย่อ ๆ เพื่อให้จำได้ง่าย ๆ ว่า “เต, ชะ,
สุ, เน, มะ, ภู, จะ, นา, วิ, เว”) ของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี
10 ทัศ(ทาน, ศีล, เนกขัมมะ, ปัญญา, วิริยะ, ขันติ, สัจจะ,
อธิษฐานะ, เมตตา, และอุเบกขา) ให้บริบูรณ์ มหาเวสสันดรชาดก ถือว่า เด่นในการบำเพ็ญ
“ทานบารมี” ชาวพุทธไทยนับแต่นับถือพระพุทธศาสนามาก็นิยมศึกษา อ่าน หรือ
ฟังเทศน์มหาเวสสันดรชาดก ที่เรียกว่า ฟังเทศน์มหาชาติ โดยถือคติตามเรื่องพระมาลัยเทวเถระ ที่พระมาลัยสนทนากับเมตไตรยโพธิสัตว์
ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปว่า ผู้ใดตั้งจิต อุตสาหะสดับ(ฟัง)เทศน์มหาชาติ(มหาเวสสันดรชาดก)จนจบครบ
13 กัณฑ์ ในวันเดียว ผู้นั้นจะได้ผลานิสงส์มหาศาล
เมื่อสิ้นชีวิตลง ย่อมไปบังเกิดในโลกสวรรค์ และเมื่อพระศรีอริยเมตไตรย
มาตรัสรู้ประกาศศาสนา ผู้นั้นจะก็ได้มาบังเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ในยุคนั้น ทุกคนล้วนมีความสุขดุจอยู่แดนสวรรค์
สนุกสนาน เพลิดเพลินตลอดเวลา ไม่ต้องตรากตรำ ทำงานหนัก อยากได้สิ่งของอะไร ไม่ว่าจะเป็น
อาหาร หรือ เครื่องนุ่งห่ม ก็เพียงแต่ออกไปเอาไม้สอยของที่ห้อยอยู่ตามกิ่งของต้นกัลปพฤกษ์
ซึ่งเกิดอยู่ทั้ง 4 มุมเมือง
ก็จะได้สิ่งของตามความประสงค์ทุกประการ
ของทุกสิ่งที่ห้อยอยู่ตามกิ่งต้นกัลปพฤกษ์นั้น ล้วนเป็นผลานิสงส์ของบุญใหญ่(มหากุศล)จากการตั้งใจฟังเทศน์
และการบูชามหาเวสสันดรชาดกเป็นสำคัญ ตามความเชื่อและคตินิยมที่สืบทอดกันมานานเช่นนี้
จึงทำให้เกิดประเพณีการฟังเทศน์มหาชาติ มหาเวสสันดรชาดกกันทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย
เนื้อเรื่องและสำนวนที่นำมาเทศน์อาจจะแตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียด เช่น “มหาชาติคำหลวง”
แต่งในสมัยพระเจ้าบรมไตรโลกนาถเมื่อ พ.ศ.2025 หรือ “กาพย์มหาชาติ” พระราชนิพนธ์โดย
พระเจ้าทรงธรรมกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา เมื่อ จ.ศ. 989
พ.ศ. 2170
“เทศน์ผะเหวด หรือ พระเวส” ของชาวไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และ “ตั้งธัมม์หลวง” ของชาวไทยถิ่นล้านนา เป็นต้นก็ตาม แต่สาระโครงเรื่องส่วนใหญ่ก็ไม่ทิ้ง
มหาเวสสันดรชาดก เพื่อรักษาประเพณีการฟังเทศมหาชาติ จำเป็นต้องจาร จารึกบันทึก
คัดลอกสำนวนให้คงอยู่ สืบทอดต่อๆกันมาจนถึงสมัยปัจจุบัน
การเล่าเรื่องมหาเวสสันดรชาดก
เกิดขึ้นมาเนื่องในสมัยที่พระพุทธเจ้าเสด็จนิวัติไปโปรดพระเจ้า สุทโธทนะ พระพุทธบิดาและพระประยูรญาติ ที่นครกบิลพัสดุ์
หลังจากการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตามคำอาราธนาของพระเจ้าสุทโธทนะ ที่ส่งทูตไปอาราธนาถึง
9
คณะ แต่ก็ไม่สำเร็จ จนถึงทูตคณะที่ 10 ซึ่งนำโดยกาฬุทายีอำมาตย์(พระสหชาติ)
จึงอาราธนาได้สำเร็จ แต่เมื่อพระองค์เสด็จไปถึงนครกบิลพัสดุ์ พำนักที่นิโครธาราม
พระประยูรญาติผู้ใหญ่ ต่างถือตัว มีมานะทิฏฐิกล้า ไม่ยอมถวายความเคารพ ด้วยถือตัวว่า
ตนมีอายุมากกว่าพระพุทธเจ้า จึงปล่อยให้ราชกุมาร ราชกุมารีที่ทรงมีชันษาเยาว์เท่านั้นให้ถวายความเคารพ
พระพุทธเจ้าจึงปราบมานะทิฏฐิอันแรงกล้าของพระประยูรญาติให้หมดลง จนอ่อนน้อมยอมตนถวายความเคารพ
ทันใดนั้น ได้บังเกิด ฝนโบกขรพัสส์(บางทีสะกดเป็นโบกขรพรรษ ได้แก่ น้ำฝนที่มีสีแดง
ตกลงมาใครไม่ต้องการให้เปียกก็ไม่เปียก เหมือนเม็ดฝนตกลงที่ใบบัว
ไม่เปียกและไม่ค้างอยู่ที่ใบบัว กลิ้งลงไป เป็นอัศจรรย์) ตกลงมายังความชุ่มเย็นแก่ญาติสมาคม
ทุกคนต่างมองเห็นว่าเป็นเรื่องอันน่าอัศจรรย์ยิ่ง พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า การที่ฝนโบกขรพัสส์ตกลงมาในสมาคมญาติเช่นนี้
มันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตเช่นกัน เมื่อพระภิกษุอาราธนาให้ทรงเล่าเรื่องฝนโบกขรพัสส์ที่เคยตกลงมานั้น
พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่า มหาเวสสันดรชาดก ชาติสุดท้ายที่เกิดเป็นมนุษย์ของพระองค์ พระสังคีติกาจารย์รวบรวมเฉพาะแก่นของเรื่องเป็นคำร้อยกรองได้
1,000 คาถา
บรรจุไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 28 หมวดพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย
ชาดก ชุดมหานิบาต เรื่องที่ 10
เป็นคาถาล้วน(ปัชชพันธะ :
คาถา หรือ คำร้อยกรอง) ไม่มีความเรียง(คัชชพันธะ : ความเรียง หรือ จุณณียบท) หรือ
การแต่งผสมระหว่างความเรียงกับคาถา (วิมิสสพันธะ : การแต่งเรื่องที่ใช้คาถาและความเรียงที่สองอย่างปะปนกัน)
ต่อมาพระอรรถกถาจารย์ได้แต่งอรรถกถาชาดก
มหานิปาตวรรณนา ภาคที่ 2 ในตอนที่ว่า
“เวสฺสนฺตรชาตกวณฺณนา”
โดยการแต่งความเรียงบอกเล่าลำดับเหตุการณ์ของเรื่อง อิงอาศัยคาถาในพระไตรปิฎกที่สรุปเฉพาะพลความ
โยงเรื่องให้เห็นว่า ก่อนจะได้กล่าวคาถานี้
ท้องนิทานของเรื่องดำเนินมาอย่างไร จึงเติมเต็มให้ได้ความสมบูรณ์ว่า ใคร ทำอะไร
ที่ไหน อย่างไร มีผลอะไรเกิดขึ้น ทั้งได้แทรกอธิบายคำ
ความ และธรรมะ เรียงตามลำดับคาถา ให้ผู้อ่านได้เข้าใจเนื้อเรื่องพระมหาเวสสันดรชาดกปะติดปะต่อได้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ เพื่อเจริญศรัทธาปสาทะของพุทธศาสนิกชนในการบำเพ็ญทานบารมีตามอย่างพระเวสสันดร
อนึ่งคำในพระบาลีและคำของพระอรรถกถาจารย์ ที่ใช้สื่อสารกันในยุคโน้น
อาจจะเป็นที่เข้าใจยากของอนุชนผู้เกิดภายหลัง พระฎีกาจารย์ ก็ได้แต่งฏีกา
อธิบายขยายความของคำ เพิ่มตัวอย่าง วิเคราะห์ศัพท์ให้เป็นที่เข้าใจง่าย
ไม่ผิดไปจากความมุ่งหมายของผู้แต่งเรื่องเดิม ตรงตามข้อเท็จจริง สอดคล้องตามแก่นของเรื่อง
และ มหาเวสสันตรทีปนี ก็เกิดขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์หลักคล้ายกันนี้
เวสสันตรทิปนี
หรือ พระมหาเวสสันตรทีปนี เป็นผลงานวรรณกรรมบาลี แต่งเป็นภาษาบาลี โดยพระสิริมังคลาจารย์ พระมหาเถระปราชญ์ชาวเชียงใหม่ หรือ มหาปราชญ์ชาวล้านนา
ในอดีต เพื่ออธิบายความหมายของคำและความ ของมหาเวสสันดรชาดก ที่มีความโดดเด่นในเรื่องการบำเพ็ญทานบารมี
เข้าชุด “ปัญจมหาบริจาค” หรือการบริจาคอันยิ่งใหญ่ 5 ประการ ได้แก่
1.
ธนบริจาค การสละทรัพย์สมบัติเป็นทาน
2.
อังคบริจาค การสละอวัยวะ(มีดวงตาเป็นต้น)ให้เป็นทาน
3.
ชีวิตบริจาค การสละชีวิตให้เป็นทาน
4.
ปุตตบริจาค การสละลูกให้เป็นทาน
5.
ทารบริจาค(ภริยาบริจาค) การสละเมียให้เป็นทาน
พระเวสสันดร
ได้สละทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของ เครื่องใช้มากมายให้เป็นทาน ทรงสละพระโอรสและพระธิดาให้เป็นทานแก่พราหมณ์ชูชก
และสละพระนางมัทรี พระมเหสีให้เป็นทานแก่ท้าวสักกะ(พระอินทร์)ที่ปลอมเป็นพราหมณ์ชรามาขอ
นับว่าเป็นการเสียสละให้ทาน(ทานบารมี)ที่คนปกติทั่วไปกระทำได้โดยยาก เพราะต้องการบรรลุพระโพธิญาณ
เพื่อโปรดสัตว์โลก น้ำพระทัยของพระเวสสันดรทรงยินดีในการให้ทานเสมอ
ไม่มีผู้ใดที่มาขอแล้วจะพกความผิดหวังกลับไป คือขอแล้วต้องได้ทุกคน จนมีคำตลาดเปรียบเทียบคนที่ชอบสละสิ่งของให้ทานโดยไม่รู้สึกเสียดายว่า
“ใจกว้างเหมือนพระเวสสันดร”
ธรรมเนียมในการแต่งคัมภีร์เพื่ออธิบาย
คำ และ ความ ในพระไตรปิฎก
นักปราชญ์หลายท่านยืนยันว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เช่น คัมภีร์เนตติปกรณ์
และ เปฏโกปเทส แต่งโดยพระมหากัจจายนเถระ เอตทัคคะในด้านการขยายข้อธรรมที่ย่อให้พิสดาร หลังจากนั้น ประมาณพุทธศักราช 400
ปี ก็มีคัมภีร์มิลินทปัญหา เป็นต้น การแต่งคัมภีร์อย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ที่เรียกว่า ยุคทองของการแต่ง ที่ประเทศอินเดียกลับไม่รุ่งเรือง แต่ไปเจริญเติบโตที่ประเทศศรีลังกา
ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 10 –13 ดังคำอธิบายของ สุภาพรรณ ณ
บางช้างว่า
“ยุคที่มีการแต่งผลงานอรรถกถาบาลีมากที่สุด
คือ ยุคอนุราธปุระ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 10-11 ในลังกา และยุคที่แต่งผลงานฎีกามีมากที่สุด คือ ยุคโปโลนารุวะ
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-13 ในลังกาเช่นกัน ในประเทศไทย ได้พบผลงานวรรณคดี
อรรถวรรณนา พระไตรปิฎกที่เป็นงานสรรค์สร้างใหม่ มี 8 เรื่อง
คือ เวสสันตรทีปนี, จักรวาลทีปนี, สังขยาปกาสกฎีกา, มังคลัตถทีปนี,
วชิรสารัตถสังคหฎีกา, มาลัยยวัตถุทีปนีฎีกา, โลกสัณฐานโชตรตนคันฐี, และปริตตสังเขป
เป็นงานประเภท ทีปนี ฎีกา และคัณฐี มีลักษณะบางอย่างได้รับอิทธิพลมาจากการแต่งอรรถวรรณนาของลังกา
และมีลักษณะที่เป็นวิวัฒนาการเกิดขึ้นใหม่ในประเทศไทย”
ในผลงาน ทั้ง 8
เล่มนั้น ครึ่งหนึ่ง คือ 4 เล่มแรก
เป็นผลงานแต่งของพระสิริมังคลาจารย์ ผู้เขียนจะได้เรียบเรียง
สาระ คุณค่า นัยสำคัญต่อวิถีวัฒนธรรมล้านนา โดยยกมาวิเคราะห์เฉพาะ เวสสันตรทีปนี
หรือ พระมหาเวสสันตรทีปนี ส่วนคัมภีร์อื่นๆที่เป็นผลงานของพระสิริมังคลาจารย์
ก็มีนักวิชาการอีกหลายท่านช่วยกันเรียบเรียงเติมเต็ม เนื่องวโรกาสพิเศษเดียวกันนี้อยู่แล้ว
พระสิริมังคลาจารย์แต่งพระมหาเวสสันตรทีปนี ขึ้นมา
เพื่ออธิบายคำและความ รวมทั้งหลักธรรมที่เข้าใจยาก จากคำศัพท์ต่างๆ ที่ใช้ในสมัยนั้น
ด้วยการเสริมความ ขยายความ และตีความ อย่างละเอียด ใช้ประโยคสั้นๆ ภาษากระชับ แต่ไม่เสียความ อธิบายเป็นขั้นตอน
ตามลำดับข้อของคาถา ไม่มีการตัดตอน เพื่อเป็นหลักในการศึกษาเวสสันดรชาดก
จะได้เข้าใจตามเนื้อเรื่อง และเนื้อความ โดยอ้างอิงข้อมูล และหลักฐานจากคัมภีร์ต่างๆ
ไม่น้อยกว่า 93 คัมภีร์
ผนวกด้วยการเสนอข้อคิดเห็นของพระเถระนักปราชญ์ล้านนา ร่วมสมัยที่ระบุนาม 3 รูป คือ พระอโนมทัสสี
พระมหาปุสสเทวะ และพระรัตนบัณฑิต
อาจกล่าวได้ว่า งานแต่งพระมหาเวสสันตรทีปนีนี้ เป็นดุจการวิจัยทางวิชาการที่ต้องการถอดสูตรองค์ความรู้จากพระมหาเวสสันตรชาดก
ออกมาให้กระจ่าง มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งพยัญชนะ(คำ) และอรรถะ(ความ) นั่นเอง
พระมหาเวสสันตรทีปนี
ที่ผู้เขียนใช้เป็นหลักในการเรียบเรียงผลงานนี้ ได้แก่ฉบับ “เวสสันตรทีปนี
ภาคภาษาบาลี” ที่หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ปริวรรตจากหนังสือชื่อ“พฺรมหาเวสฺสนฺตรทีปนี”
จารในใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี มีจำนวน 19 ผูก เส้นจาร ฉบับล่องชาด เลขที่
10036/19, /ก/1-2, /ค/1-2, /ม/1, /ง/1, /จ/1, /ฉ/1, /ช/1, /ฌ/1, /ฐ/1, /ฑ/1, เป็นอักษรไทย ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เนื่องในงาน
พระราชทานเพลิงศพ พระเทพธรรมาภรณ์(สุรพงส์ ฐานวโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ในวันที่ 26 มีนาคม ปีพุทธศักราช 2540 มีจำนวนหน้าทั้งสิ้น 475 หน้า ส่วนข้อคิดเห็นบางอย่างที่เพิ่มเติมเข้า
ผู้เขียนจะอาศัยอรรถกถา และคัมภีร์อื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น
มหาเวสสันตรชาตกวรรณนา อรรถกถาชาดกมหานิบาตเรื่องอื่นๆ ปฐมสัมโพธิกถา(ภาษาบาลี) นิพนธ์โดย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตนิโนรส เป็นต้น มาประกอบเสริมความในรายการที่เห็นว่าจะได้ประโยชน์แก่ผู้ศึกษา
2. ผู้แต่ง ประวัติ และ ผลงาน
ผู้แต่ง
ประวัติ พระสิริมังคลาจารย์ สังฆปราชญ์แห่งล้านนา มีนามเดิม “ศรีปิงเมือง”
เป็นชาวเชียงใหม่ โยมบิดามีอาชีพค้าช้าง สถานที่เกิด ซึ่งตรงกับสถานที่ปัจจุบัน ได้แก่
หมู่บ้านตำหนัก แขวงป่าซี่ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านมีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณปีพุทธศักราช
2000 -2100 (เกิดในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช ระหว่าง พ.ศ. 1985 -2030) มรณภาพในรัชสมัยพระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์
พ.ศ. 2094 - 2117) แต่ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดว่า ในปีพุทธศักราชที่เท่าใด
จึงทำให้การประมาณอายุของท่านไม่ได้ว่า ท่านมีอายุรวมทั้งสิ้นกี่ปี ตามประวัติพระสิริมังคลาจารย์เป็นพระอาจารย์ของพระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์ราชวงศ์มังราย องค์ที่ 14
สถานที่พำนัก พระสิริมังคลาจารย์
บรรพชาเป็นสามเณร ตั้งแต่อายุยังน้อย มีฉายาว่า “สิริมงฺคโล” ภาษาสามัญว่า
“สิริมังคละ” เมื่ออายุครบ(20 ปี)
ก็ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ท่านดำรงตนในสมณะเพศต่อเนื่องตราบจนอายุขัย ท่านเป็นศิษย์ของพระพุทธวีระ นับแต่บรรพชามา พระสิริมังคลาจารย์ จำพรรษาอยู่ที่วิหาร
“สวนขวัญ” ในช่วงที่แต่งคัมภีร์
“พระเวสสันตรทีปนี” พ.ศ. 2060 (จ.ศ. 879)
ปัจจุบันชื่อ “วัดตำหนัก”
ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวัดสีหฬาราม
(วัดพระสิงห์) นครเชียงใหม่ และเมื่อแต่งคัมภีร์มังคลัตถทีปนี ในพ.ศ. 2067 (จ.ศ.
886) ท่านระบุในตอนท้ายคัมภีร์ว่า
ท่านอยู่ที่ สุญญาคาร แห่ง “เวฬุวนาราม”
หรือ “วัดไผ่เก้ากอ” อยู่ทางทิศใต้ของนครเชียงใหม่ ประมาณ 1 คาวุต แม้ท่านอาจจะไปอยู่ที่อื่นบ้าง
แต่ที่อยู่ประจำตลอดชีวิตส่วนใหญ่ของท่านก็คือ วัดเวฬุวนาราม หรือ
วัดตำหนักถิ่นกำเนิดของท่านนั่นเอง
จุดที่ตั้งของวิหารสวนขวัญ
วัดเวฬุวนาราม หรือ วัดไผ่เก้ากอ ว่าอยู่ตรงจุดใดในพื้นที่เขตทางทิศใต้ของนครเชียงใหม่นั้น
สุภาพรรณ ณ บางช้าง
ได้สรุปความเห็นเอาไว้ว่า
“วิหารสวนขวัญซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวัดพระสิงห์ที่กล่าวถึงนั้น
คือวัดตำหนัก หมู่บ้านตำหนัก
แขวงบ้านป่าซี่ นอกเวียงเชียงใหม่ ปัจจุบันเหลือแต่ซากกำแพง ซุ้มประตู
เนินวิหาร และกุฏิเล็กๆล้อมรอบซากเนินวิหารนั้น ส่วนวัดตำหนักปัจจุบัน
เป็นวัดสร้างขึ้นใหม่ โดยสร้างขึ้น ณ สถานที่บริเวณพระอุโบสถเดิม ...
เรื่องระยะทาง 1 คาวุต ไปทางทิศใต้ของเชียงใหม่นั้น
มาตรวัดระยะทาง 1 คาวุต เท่ากับ 2,000 วา
แลทางวัดตำหนักเทียบกับหลักกิโลเมตรได้ 2,000
วาตรงกัน คือนับแต่กำแพงเมืองชั้นใน หลัก 2 ตลอดถึง หลัก 7 พระมหาหมื่น วุฑฺฒิญาโณ มีความเห็นว่า วัดตำหนัก คือ วัดเวฬุวนาราม และในภาษาบาลี
ว่าอยู่ทางทิศใต้ หากกำหนดตามทิศ 8 ก็อยู่ทิศหรดี
เพราะเฉียงไปทางทิศตะวันตก” (ตะวันตกเฉียงใต้)
ผลงานการประพันธ์
วรรณกรรมบาลี พระสิริมังคลาจารย์
เป็นผู้มีการศึกษาดีเยี่ยม คงแก่เรียน มีความรู้ลุ่มลึกในภาษาบาลีที่เรียกว่าเป็นปราชญ์ทางด้านภาษาบาลี
และมีความแตกฉานในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง แถมยังเป็นผู้มีความรอบรู้และชำนาญในคัมภีร์บาลีสายหลักและคัมภีร์อื่นๆ
เช่น ไวยากรณ์ สัททนีติ เป็นต้น ที่ส่องถึงความสามารถชั้นครู คือ เป็นผู้สามารถประพันธ์(แต่งเรื่อง)
โดยการผูกโครงเรื่อง สอดใส่สาระเนื้อหา สาธกนิทานประกอบ อ้างอิงหลักฐานที่สามารถจะใช้ค้นคว้าสืบศึกษาตามข้อมูลนั้นๆเป็นการอนุเคราะห์ให้ความสะดวกแก่ผู้ตามศึกษาภายหลังได้
(ดังคัมภีร์มังลัตถทีปนี) ประการสำคัญแสดงความเป็นนักปราชญ์ที่ไม่ครอบงำความคิดของผู้ใด
เมื่อพบประเด็นที่เป็นข้อขัดแย้ง หรือเชิงขัดแย้ง
ท่านจะนำข้อมูลทั้งหมดมาแสดงเสียก่อน
จะไม่ตั้งธงวินิจฉัยตัดสินเอาตามความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ แต่จะให้อิสรภาพแก่ผู้ศึกษาว่า
ความเห็นของท่านเป็นอย่างนี้ โปรดใช้ปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบว่า
มันจะสมควร(ยุติ)กับข้อมูลใด นี่คือวิสัยของนักปราชญ์ที่ยากจะหาผู้เสมอเหมือนได้
พระสิริมังคลาจารย์
ได้แต่งวรรณกรรมบาลี เอาไว้ 4 เรื่อง
เรียงตามปีที่แต่ง ดังนี้
1.
เวสสันตรทีปนี
แต่งเสร็จในปี จุลศักราช 879 ตรงกับพุทธศักราช 2060
อยู่ ณ วิหารสวนขวัญ
2.
จักรวาลทีปนี แต่งเสร็จในปี จุลศักราช 882 ตรงกับพุทธศักราช
2063 อยู่ ณ วิหารสวนขวัญ
3.
สังขยาปกาสกฎีกา แต่งเสร็จในปี จุลศักราช 882 ตรงกับพุทธศักราช
2063 อยู่ ณ วิหารสวนขวัญ
4.
มังคลัตถทีปนี แต่งเสร็จในปี จุลศักราช 886 ตรงกับพุทธศักราช
2067 อยู่ ณ สุญญาคาร
ผลงานแต่งวรรณกรรมบาลีของท่าน
ที่โดดเด่นและสำคัญ คือ“มังคลัตถทีปนี” ปราชญ์ทางศาสนายกย่องเทียบชั้นว่า “เป็นวรรณกรรมต้นแบบ”
งดงามด้วยเค้าโครงเรื่อง ภาษาสละสลวย เลือกถ้อยคำได้เหมาะสม
สมบูรณ์พร้อมทั้งศาสตร์และศิลปะแห่งการประพันธ์ ไม่ด้อยไปกว่า “คัมภีร์วิสุทธิมรรค”
ของพระพุทธโฆสาจารย์ พระอรรถกถาจารย์ชาวอินเดีย ผู้ลือนาม เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 10
ที่ผ่านมา ในประเทศไทยทางคณะสงฆ์เห็นความสำคัญดังกล่าว
จึงได้ใช้คัมภีร์ “มังคลัตถทีปนี” เป็นหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี วิชาแปลมคธเป็นไทย
ระดับชั้นเปรียญธรรม 4 ประโยค, เปรียญธรรม 5 ประโยค และ วิชากลับไทยเป็นมคธ ระดับชั้นเปรียญธรรม 7 ประโยค ขณะที่ “คัมภีร์วิสุทธิมรรค”
เป็นหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี วิชาแปลมคธเป็นไทย ระดับชั้นเปรียญธรรม
8 ประโยค และ วิชากลับไทยเป็นมคธ ระดับชั้นเปรียญธรรม 9 ประโยค ในปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่าพระสิริมังคลาจารย์
แม้จะเป็นภิกษุชาวล้านนา ภาษาถิ่นของท่านมิใช่ภาษาบาลี แต่ก็มีความสามารถทางภาษาบาลีชั้นเอกอุ
และมีความสามารถในการแต่งคัมภีร์ ผูกเรื่องวรรณกรรมดุจมหากวี
ใช้ภาษาบาลีอย่างช่ำชอง อย่างผู้เป็นนายภาษา อ้างอิงหลักฐานแน่นหนา
ซื่อตรงต่อข้อมูล ไม่ทำงานโดยจับเอาข้อมูลแบบลวก ๆ ผิวเผิน
แต่สำรวจตรวจสอบเรื่องราวข้อเท็จจริงความเป็นมาเป็นไปให้ชัดเจน
ด้วยจิตใจที่เป็นธรรม ดุจนักวิชาการชั้นครู
ทั้งชาวต่างประเทศ และชาวไทยที่เรียบเรียงตำราทางวิชาการในปัจจุบัน
พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต)
ให้ความเห็นเกี่ยวกับนักวิชาการเอาไว้อย่างน่ารับฟัง ดังต่อไปนี้
“ในเรื่องที่พูดกันนี้
มี 2
อย่าง คือ
1.
เรื่องราวคำสอนในพระพุทธศาสนา มิใช่ข้อมูลเพื่อให้เชื่อ แต่เป็นข้อมูลเพื่อให้รู้
เป็นข้อมูลเพื่อให้ศึกษา อย่างคัมภีร์ต่าง ๆ ในพระไตรปิฎก
นักปราชญ์และผู้รู้ในวงการ ก็ศึกษาค้นคว้ากันมา
พยายามให้ได้ความรู้ชัดลงไปว่าส่วนไหน ตอนใดเกิดมีในยุคไหนเมื่อใด
ก็ได้ข้อยุติบ้าง ยังค้นคว้าต่อไปบ้าง ก็ยังอยู่ในเรื่องของการศึกษา
ทั้งนี้จะได้ผลจริง เป็นการศึกษาสมประสงค์ ก็เมื่อเป็นความสงสัยด้วยใจซื่อ
2.
ในการศึกษานั้น ย่อมต้องการความรู้เพื่อรู้จักของจริง และเข้าถึงความจริง
ต้องการความคิดเพื่อขบขยายใช้ประโยชน์คืบเคลื่อนก้าวไปกับความรู้
ด้านความรู้เป็นเรื่องของหลักการ หลักฐาน ข้อมูล ข้อเท็จจริง
ซึ่งมีความเป็นจริงอยู่ที่ความถูกต้อง ถ่องแท้ แน่และชัด
ส่วนความคิดเห็นก็เป็นไปด้วยเหตุผล โดยมีความรู้เป็นฐาน
ออกมาเป็นความคิดเห็นที่ดีงามแยบคาย
ด้วยเหตุนี้
ในด้านความรู้ที่เป็นเรื่องของความจริง และเป็นฐานของความคิด จึงได้เน้น
หรือจะว่าเคร่งครัดเอาจริงเอาจังกับเรื่องความถูกต้อง แม่นยำ และความแน่แท้
ชัดเจนของหลักฐาน ข้อมูลข้อเท็จจริง...เรื่องอย่างนี้ จะเข้าใจได้
ก็ต้องตั้งจิตวางท่าทีให้ถูก ดูเรื่องราวข้อมูลให้ชัด ให้ตลอด
ไม่ควรคิดอยู่แต่ในเหตุผลที่เป็นกรอบความคิดของตน ...ในการพัฒนาคน
เพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติ ก็แยกกระบวน การหาและการใช้ความรู้เป็น
2 ด้าน ด้านความรู้ ต้องให้ได้ข้อมูลให้มีความรู้ที่ถูกต้อง ถ่องแท้แน่และชัด(ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อย่างน้อยเพียงพอ) ด้านสภาพจิต ไม่อยู่ในอำนาจความรู้สึกชอบใจและไม่ชอบใจ
แต่คิดและใช้ความรู้โดยมีความรู้สึกเป็นกลางๆ และถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนมนุษย์
หรือผู้ร่วมโลก ก็ให้คิดด้วยจิตเมตตา”
ด้วยความเคร่งครัดทางวิชาการ
เช่นนี้ ทำให้ผลงานของพระสิริมังคลาจารย์ได้รับการศึกษา อ้างอิง จากผู้ใฝ่ศึกษา ผ่านยุคสมัยนับแต่อดีตมาจนกระทั่งปัจจุบัน
นับเป็นเวลาเกือบ 500 ปี (พระมหาเวสสันตรทีปนี
แต่งเมื่อ พ.ศ. 2060 ปัจจุบันที่เขียนเรื่องนี้เป็นปี พ.ศ. 2555
อายุคัมภีร์นับได้ 495 ปี ส่วนมังคลัตถทีปนี
แต่งเมื่อ พ.ศ. 2067 ปัจจุบัน อายุคัมภีร์นับได้ 488 ปี) และจะยังใช้ผลงานนี้เป็นต้นแบบของการศึกษาทางวรรณกรรมบาลีต่อไปในอนาคตอีกนานแสนนาน
สมควรนับได้ว่า เป็นผลงานอมตะอย่างแท้จริง
ยุคทองของการแต่งวรรณกรรมบาลี
ในราชอาณาจักรล้านนา ช่วงเวลาที่พระสิริมังคลาจารย์
แต่งคัมภีร์ทั้ง 4 เรื่อง(พ.ศ. 2060-2067)นั้น ตรงกับรัชสมัยการครองราชย์ของ “พระเมืองแก้ว” หรือ “พระเจ้าติลกปนัดดาธิราช”
เป็นพระเจ้าเหลนของพระเจ้าติโลกราช ผู้อุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกของประเทศไทย
ซึ่งนับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 8 ของโลก ที่วัดมหาโพธาราม
มหาวิหาร(วัดเจ็ดยอด) นครเชียงใหม่ ในปีพุทธศักราช 2020
ราชอาณาจักรล้านนาในช่วงเวลาดังกล่าว
นับได้ว่าเป็นยุคทองของวรรณกรรมบาลีจริง ๆ นอกจาก พระสิริมังคลาจารย์แล้ว ยังมีพระสังฆเถระ
มหาปราชญ์อีกหลายท่าน (บางท่านมีชีวิตอยู่ก่อน บางท่านอยู่ร่วมสมัยเดียวกัน
และบางท่านมีชีวิตหลังจากนั้น) ที่แต่งวรรณกรรมบาลีสำคัญๆ ผีมือในการแต่งก็นับเป็นชั้นครูทั้งสิ้น
แต่ที่มีชื่อเสียงเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระสิริมังคลาจารย์ คือ พระญาณกิตติ
ผู้มีความละเอียดในเรื่องไวยากรณ์ มีความรู้ทั้งเชิงกว้างและเชิงลึกในคัมภีร์และคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา
การอ้างอิงใช้ทั้งหลักฐานต้นแบบ คือ พระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์ฏีการุ่นหลังจำนวนหลายเล่ม ผู้เขียนจะแสดงรายนามของพระเถระสังฆปราชญ์ล้านนา(ยกเว้นพระสิริมังคลาจารย์และผลงานที่กล่าวมาแล้ว)และคัมภีร์ที่ท่านแต่งเพื่อบันทึกยกย่องเชิดชูเกียรติเอาไว้ในที่นี้เป็นอีกหลักฐานหนึ่ง
เท่าที่ผู้เขียนค้นหาได้ แม้จะได้มาไม่ครบทุกท่านและทุกเล่มก็ตาม ก็ยังพอเป็นแนวทางให้ผู้สนใจได้สืบค้นต่อ
ดังรายการต่อไปนี้
1. พระโพธิรังสี
พระภิกษุชาวลำพูน พระเถระสังฆปราชญ์ล้านา แต่งคัมภีร์ 2 เล่ม
คือ
1.1 จามเทวีวังสะ
(ไม่ปรากฏปีที่แต่ง) 1.2 สิหิงคนิทาน (ไม่ปรากฏปีที่แต่ง)
2. พระธรรมเสนาปติเถระ
พระภิกษุชาวเชียงแสน แต่งคัมภีร์ (บาลีไวยากรณ์) 1 เล่ม คือ
ปทักกมโยชนาสัททัตถเภทจินดา
หรือ สัททัตถเภทจินดาปทักกมโยชนา
3. พระญาณกิตติ
พระภิกษุชาวเชียงใหม่ พระราชครูของพระเจ้าติโลกราช แต่งคัมภีร์ 12 เล่ม คือ
3.1 สมันตปาสาทิกาอัตถโยชนา
3.2 ภิกขุปาติโมกขคัณฐีทีปนี
3.3
สีมาสังกรวินิจฉัย 3.4
อัฏฐสาลินีอัตถโยชนา
3.5
สัมโมหวิโนทนีอัตถโยชนา 3.6
ธาตุกถาอัตถโยชนา
3.7
ปุคคลปัญญัตติอัตถโยชนา 3.8
กถาวัตถุอัตถโยชนา
3.9
ยมกอัตถโยชนา 3.10
ปัฏฐานอัตถโยชนา
3.11
อภิธัมมัตถวิภาวินี ปัญจิกา อัตถโยชนา 3.12 มูลกัจจายนโยชนา
4. พระสัทธัมกิตติมหาผุสสเทวะ
พระภิกษุชาวหริภุญไชย ร่วมสมัยพระญาณกิตติ (คงเป็นรูปเดียวกับ“พระมหาปุสสเทวะ” ที่พระสิริมังคลาจารย์อ้างถึง) แต่ง 1 คัมภีร์ คือ
สัททพินทุอภินวฎีกา
5.
พระญาณวิสาละ พระภิกษุชาวโยนกประเทศ(ที่ปรากฏในหลักฐานของพม่า
ว่าท่านมีเชื้อสายชาวลาว มิใช่ชาวล้านนา) มีชีวิตร่วมสมัยกับพระสิริมังคลาจารย์
แต่งคัมภีร์ 1 เล่ม คือ
สังขยาปกาสกะ (พระสิริมังคลาจารย์แต่ง สังขยาปกาสกฎีกา)
6. พระรัตนปัญญาเถระ
พระภิกษุชาวเชียงรายหรือลำปาง ร่วมสมัยกับพระสิริมังคลาจารย์ (ไม่แน่ใจว่าเป็นจะเป็นรูปเดียวกันกับ
“พระรัตนบัณฑิต” ที่พระสิริมังคลาจารย์อ้างถึงหรือไม่) แต่งคัมภีร์ 3 เล่ม คือ
6.1 ชินกาลมาลี
(พ.ศ. 2059) 6.2 วชิรสารัตถสังคหะ(ไม่ปรากฏปีที่แต่ง)
6.3
มาติกัตถสรูปะธัมมสังคณี (ไม่ปรากฏปีที่แต่ง)
7. พระนันทาจารย์
พระภิกษุชาวเชียงใหม่ แต่งคัมภีร์ 1 เล่ม คือ
สารัตถสังคหะ
8. พระสุวัณณรังสีเถระ
พระภิกษุชาวล้านนา ช่วงหลังย้ายไปอยู่นครเวียงจันทน์ แต่งคัมภีร์ 2 เล่ม คือ
8.1 คันถาภรณฎีกา 8.2 ปฐมสัมโพธิกถา
9. พระอุตตรารามเถระ พระภิกษุชาวโยนกประเทศ(มิใช่ชาวล้านนา)
แต่งคัมภีร์ 1 เล่ม คือ
วิสุทธิมัคคทีปนี
10. พระมหามังคละสีลวังสะ
พระภิกษุชาวเชียงใหม่ พำนักวัดโชติกา ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน แต่งบทสวดมนต์พิเศษ 1
เล่ม คือ
อุปปาตสันติ
(แต่งเมื่อ พ.ศ. 1994 จุลศักราช 763) ล้านนาเรียกว่า มหาสันติงหลวง
แต่งเป็นคาถา ภาษาบาลีล้วน 271 คาถา (ฉบับล้านนาสูญหายไป)
พม่าได้นำไปคัดลอกจารเป็นภาษาบาลีอักษรพม่า เรียกว่า “สิริมังคลาปริตตอ”
แปลว่า “บทสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล” พระธรรมเมธาจารย์(เช้า ฐิตปุญฺโญ
ป.ธ. 9) อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ได้ฉบับอักษรพม่ามาจากวัดท่ามะโอ
จังหวัดลำปาง จึงทำการปริวรรตและแปลออกมาเป็นภาษาไทย
เมื่อ มี พ.ศ. 2505
11.พระพรหมราชปัญญา
พระภิกษุชาวล้านนา แต่งคัมภีร์ 1 เล่ม คือ
รัตนพิมพวังสะ หรือ ตำนานพระแก้วมรกต (พ.ศ. 1972)
ส่วนหนังสืออื่นๆ
มีบางเรื่อง ที่แต่งเป็นภาษาบาลี และมีอีกหลายเรื่องที่มิได้แต่งเป็นภาษาบาลี แต่ยกบาลีมาเป็นบทตั้งแล้วเดินเรื่องเป็นภาษาล้านนา
ที่เรียกว่า “นิสสัย” บางเรื่องปรากฏนามผู้แต่งเอาไว้ แต่บางเรื่องไม่ปรากฏนามผู้แต่ง
แต่พอจะอนุมานทราบได้ว่าเป็นผลงานของปราชญ์ชาวล้านนา ได้แก่คัมภีร์ดังต่อไปนี้
1. “ปัญญาสชาดก”
(พระเจ้า 50 ชาติ) เป็นภาษาบาลีล้วน พระสังฆปราชญ์ล้านนา แต่งราว
พ.ศ. 2000-2200 (ข้อสังเกต ภาษาบาลี ที่แต่งในชาดกเรื่องท้าย
ๆ ยังไม่ถึงขั้นนับว่าสละสลวย งดงาม ดุจเรื่องต้นๆ
อาจเป็นการฝึกแต่งโดยกวีหลายท่าน) ปัญญาสชาดกที่เป็นต้นฉบับอักษรล้านนาได้สูญหายไป
แต่ฉบับที่คัดลอกยังมีที่ประเทศลาว ประเทศกัมพูชา และประเทศเมียนม่า(พม่า) ซึ่งพม่าเรียกว่า
“ซิมเม ปัณณาส” หรือ “เชียงใหม่ปัณณาส” สมาคมบาลีปกรณ์ นำไปปริวรรตเป็นบาลี
อักษรโรมัน ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1981 และ 1983 (พ.ศ. 2524 และ 2526)
2. “ตำนานมูลสาสนา”
พระพุทธพุกาม แต่งร่วมกับพระพุทธญาณ สันนิษฐานกันว่า ท่านได้แต่งก่อนหนังสือ “จามเทวีวังสะ”
3. “ตำนานพระเจ้าเลียบโลก”
พระมหาสามีธรรมรส พระภิกษุชาวมอญ คัดลอกมาจากศิลาจารึกในประเทศศรีลังกา
4. “มาลัยยเทวเถรวัตถุ”
ประวัติพระมาลัยโปรดสัตว์ ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง
5. “ทนฺตธาตุนิธาน” หรือ ตำนานพระเขี้ยวแก้ว โดยภิกษุปราชญ์ชาวล้านนา (สมัยพระเจ้าชัยสงคราม พ.ศ.1808-1860)
3. สาระของมหาเวสสันตรทีปนีและข้อมูลหลักในพระบาลี-อรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
3.1 มหาเวสสันตรชาดก
พระสังคีติกาจารย์ ได้รวบรวมร้อยกรอง เป็นคาถาล้วนๆ เพื่อเป็นการจดจำแก่นของเรื่อง
มีจำนวน 1,000 คาถา บันทึกในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก มหานิบาต เล่ม 28 บทประพันธ์เรื่องมหาเวสสันดรชาดกที่แต่งเป็นคาถาภาษาบาลีล้วน
ๆ พันบทนี้ว่า“คาถาพัน”
ถ้านำไปเทศน์เฉพาะคาถาบาลีล้วน ๆ ก็เรียกว่า “เทศน์คาถาพัน”
ผู้เขียนขอเสนอเพียง
2 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้
พระสังคีติกาจารย์
เล่าเรื่องโดยประพันธ์เป็นคาถา แบบ “ปัชชพันธะ” : คาถา หรือคำร้อยกรองล้วน ๆ
ไม่มีความเรียง ย่อเรื่องเฉพาะเหตุการณ์ หรือ ฉากตอนสำคัญ ๆ ทำนองบทประพันธ์ร้อยกรองเรื่อง
“พระอภัยมณี” ของพระศรีสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) กวีศรีรัตนโกสินทร์ เล่าความ เดินต่อเรื่องตามกลอนกวี
ไม่มีความเรียง เพราะต้องการให้จดจำ
และคงสาระหลักไว้ การประพันธ์แบบร้อยกรอง จึงเป็นง่ายต่อการทรงจำ พระสังคีติกาจารย์ จึงมิได้แต่งเรื่องให้ละเอียดแบบความเรียงร้อยแก้ว
ที่เล่าปูพื้นเหตุการณ์ก่อน แล้วสรุปเป็นคาถา เหมือนที่รวบรวมพระสูตรต่างๆ ดังที่พระอรรถกถาจารย์ แต่งผูกเรื่องราวเกริ่นและดำเนินท้องเรื่อง
แล้วจึงเสริมต่อด้วยคาถาสรุปเรื่อง
เนื้อความในมหาเวสสันตรชาดก
ที่มี 1,000 คาถา แยกเนื้อหาออกเป็น 13 กัณฑ์ หรือ 13 ปัพพะ(ตอน)
เรื่องจบแต่ละตอน เมื่อขึ้นตอนใหม่ ความเชื่อมเรื่องตามลำดับก็หายไป
ตัดตอนไปอย่างรวดเร็วดุจฉากในภาพยนตร์
ผู้อ่านต้องปะติดปะต่อเรื่องราวในรายละเอียดเอาเอง ก็จะสามารถลำดับความติดตามเรื่องได้
ดังจะได้ยกมาพอเป็นตัวอย่าง คาถาแรก กับ คาถาสุดท้าย
ของแต่ละกัณฑ์/ปัพพะ และจำนวนคาถาในแต่ละกัณฑ์ ดังต่อไปนี้
1.
กัณฑ์ที่ 1 ทสวรคาถา หรือ ทสวรคาถาปัพพะ (ทศพร) ประกอบด้วยคาถา 13 คาถา
คาถาที่ 1(1045) ผุสฺสตี
วรวณฺณาเภ วรสฺสุ ทสธา วเร
ปฐพฺยา จารุปุพฺพงฺคี ยํ ตุยฺหํ มนโส ปิยํ ฯ
(แปล) ดูกรผุสดีผู้มีรัศมีแห่งผิวพรรณอันประเสริฐ
ผู้มีอวัยวะส่วนเบื้องหน้างาม เธอจงเลือกเอาพร 10 ประการในปฐพีซึ่งเป็นที่รักแห่งหฤทัยของเธอ
คาถาที่ 13 (1051) อิทํ วตฺวาน มฆวา เทวราชา สุชมฺปติ
ผุสฺสติยา วรํ ทตฺวา อนุโมทิตฺถ
วาสโว ฯ
(แปล) ครั้นท้าววาสวะมฆวาสุชัมบดีเทวราชตรัสอย่างนี้แล้ว
ก็โปรดประทานพรแก่พระนางผุสดีเทพอัปสร
2. กัณฑ์ที่ 2 หิมวันตะ หรือ หิมวันตวรรรนา(หิมพานต์)
ประกอบด้วยคาถา 86 คาถา
คาถาที่ 14 (1051) ตโต จุตา ผุสฺสตี ขตฺติเย
อุปปชฺชถ
เชตุตรมฺหิ นคเร สญฺชเยน สมาคมิ ฯ
(แปล) พระนางผุสดีเทพอัปสรจุติจากดาวดึงสเทวโลกนั้น
มาบังเกิดในสกุลกษัตริย์ ได้ทรงอยู่ร่วมกับพระเจ้าสัญชัยในพระนครเชตุดร
คาถาที่ 99 (1077)
ยทา เหมนฺติเก มาเส วนํ ทกฺขสิ
ปุปฺผิตํ
โอปุปฺผานิ จ ปทฺมานิ น รชฺชสฺส สริสฺสสิ ฯ
(แปล)เมื่อใด พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นหมู่ไม้มีดอกบานสะพรั่ง
และปทุมชาติอันมีดอกร่วงหล่นในเดือนฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น
จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
3.
กัณฑ์ที่ 3 ทานกัณฑ์ ประกอบด้วยคาถา 143 คาถา
คาถาที่ 100 (1078) เตสํ ลาลปิตํ สุตฺวา ปุตฺตสฺส สุณิสาย จ
กลูนํ ปริเทเวสิ ราชปุตฺตํ ยสสฺสินี ฯ
(แปล) พระนางผุสดีราชบุตรีผู้เรืองยศ
ได้ทรงสดับคำที่ พระราชโอรสและพระสุณิสาพร่ำสนทนากัน ทรงคร่ำครวญละห้อยไห้
คาถาที่ 242 (1107) ราชา กุมารมาทาย ราชปุตฺตี จ ทาริกํ
สมฺโมทมานา ปกฺกามุ อญฺญมญฺญํ ปิยํ วทา ฯ
(แปล) พระราชาทรงอุ้มพระโอรส
ส่วนพระราชบุตรีทรงอุ้มพระธิดา ทรงยินดีร่วมกันดำเนิน
ตรัสปราศรัยด้วยน้ำคำอันน่ารักกะกันและกัน
4.
กัณฑ์ที่ 4 วนัปปเวสน์ หรือ (วนปเวสน์) ประกอบด้วยคาถา 59 คาถา
คาถาที่ 243(1108) ยทิ เกจิ มนุชา เอนฺติ อนุมคฺเค ปฏิปเถ
มคฺคนฺเต ปฏิปุจฺฉาม กุหึ
วงฺกตปพฺพโต ฯ
(แปล) ถ้ามนุษย์บางพวกเดินมาตามทางหรือเดินสวนทางมา
เราจะถามมรรคากะพวกเขาว่า ภูเขาวงกตอยู่ที่ไหน
คาถาที่ 301 (1122) ตสฺสา
อุตฺตรปุพฺเพน ปณฺณสาลํ อมาปย
ปณฺณสาลํ อมาเปตฺวา อุญฉาจริยาย
อีหก ฯ
(แปล) พระองค์ควรทรงสร้างบรรณศาลาทางทิศอีสาน
แห่งสระโปกขรณีนั้น ครั้นทรงสร้างบรรณศาลาสำเร็จแล้ว
ควรทรงบำเพ็ญเพียรเลี้ยงพระชนม์ชีพ ด้วยการเที่ยวแสวงหามูลผลาหาร
5.
กัณฑ์ที่ 5 ชูชกปัพพะ (ชูชก) ประกอบด้วยคาถา 78 คาถา
คาถาที่ 302 (1123)อหุ วาสี กลิงฺครฏฺเฐ ชูชโก นาม พฺราหฺมโณ
ตสฺสาปิ ทหรา ภริยา นาเมนามิตฺตตาปนา
ฯ
(แปล) พราหมณ์
ชื่อว่า ชูชก อยู่ในเมืองกลิงครัฐ ภรรยาของพราหมณ์นั้นเป็นสาวมีชื่อว่า อมิตตตาปนา
คาถาที่ 379 (1138) ปิยสฺส เม ปิโย
ทูโต ปุณฺณปติตํ ททามิ เต
อิมญฺจ มธุโน ตุมฺพํ มิคสตฺถิญฺจ พฺราหฺมณ
ตญฺจ เต เทสมกฺขิสฺสํ ยตฺถ สมฺมติ กามโท ฯ (ประเภท
6 บาท คาถา)
(แปล) ดูกรพราหมณ์
ท่านเป็นทูตที่รักของพระเวสสันดรผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้าข้าพเจ้าจะให้เต้าน้ำผึ้ง
และขาเนื้อย่างเป็นบรรณาการแก่ท่าน และจักบอกประเทศที่พระเวสสันดรหน่อกษัตริย์ผู้ให้สำเร็จความประสงค์ประทับอยู่แก่ท่าน
6.
กัณฑ์ที่ 6 จุลลวนวรรรนา (จุลพน)
ประกอบด้วยคาถา 55 คาถา
คาถาที่ 380 (1139) เอส เสโล มหาพฺราหฺเม ปพฺพโต คนฺธมาทโน
ยตฺถ เวสฺสนฺตโร ราชา สห ปุตฺเตหิ
สมฺมติ ฯ
(แปล) ดูกรมหาพราหมณ์
นั่นภูเขาคันธมาทน์อันล้วนแล้วด้วยหิน พระเวสสันดรเจ้า
พร้อมด้วยพระโอรสพระธิดาและพระมเหสีทรงเพศนักบวชอันประเสริฐ
คาถาที่ 434 (1143) อิทํ สุตฺวา
พฺรหฺมพนฺธุ เจตํ กตฺวา ปทกฺขิณํ
อุทฺทคฺคจิตฺโต ปกฺกามิ เยนาสิ อจฺจุโต อิสิ ฯ
(แปล)ชูชกผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพราหมณ์
ได้ฟังคำของเจตบุตรดังนี้แล้ว มีจิตยินดีเป็นอย่างยิ่ง กระทำประทักษิณเจตบุตรแล้ว
ได้เดินทางตรงไป ณ สถานที่อันอัจจุตฤาษีสถิตอยู่
7.
กัณฑ์ที่ 7 มหาวนวรรณนา (มหาพน)
ประกอบด้วยคาถา 133 คาถา
คาถาที่ 435 (1144) คจฺฉนโต โส ภารทวาโช อทฺทส อจฺจุตํ อิสึ
ทิสฺวาน ตํ ภารทวาโช สมฺโมทิ อิสินา สห
(แปล)ชูชกพราหมณ์ภารทวาชโคตรนั้น
เมื่อเดินไปตามทางที่เจตบุตรพรานป่าแนะให้ ก็ได้พบอัจจุตฤาษี
ครั้นแล้วได้เจรจาปราศรัยกับอัจจุตฤาษี
คาถาที่ 567 (1157) อิทํ สุตฺวา
พฺรหฺมพนฺธุ อิสึ กตฺวา ปทกฺขิณํ
อุทฺทคฺคจิตฺโต ปกฺกามิ ยตฺถ เวสฺสนฺตโร ราชาฯ
(แปล) ชูชกผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพราหมณ์
ครั้นได้สดับถ้อยคำของอัจจุตฤาษีกระทำประทักษิณ มีจิตชื่นชมโสมนัส
อำลามุ่งหน้าไปยังสถานที่ประทับของพระเวสสันดร
8.
กัณฑ์ที่ 8 ทารกปัพพะ หรือ กุมารปัพพะ(กุมาร) ประกอบด้วยคาถา 121 คาถา
คาถาที่ 568 (1158) อุฏฐาหิ ชาลิ ปติฏฺฐ โปราณํ วิย ทิสฺสติ
พฺราหฺมณํ วิย ปสฺสามิ นนฺทิโย มาภิกีรเร ฯ
(แปล)ดูกรพ่อชาลี
เจ้าจงลุกขึ้นยืนเถิด
การมาของพวกยาจกในวันนี้ปรากฏเหมือนการมาของพวกยาจกครั้งก่อนๆ พ่อเห็นเหมือนดังพราหมณ์
ความชื่นชมยินดีทำให้พ่อเกษมศานติ์
คาถาที่ 688 (1182) สูนา จ วต โน ปาทา พาฬฺหํ
ตาเรติ พฺราหฺมโณ
อิติ ตตฺถ วิลปึสุ กุมารา
มาตุคิทฺธิโน ฯ
(แปล) เท้าทั้งสองของเรา
ฟกบวมหนอ พราหมณ์ก็เร่งให้เรารีบเดิน พระกุมารทั้งสองทรงรักใคร่ในพระมารดา
ทรงกรรแสงพิลาปอยู่ ณ ที่นั้น ด้วยประการดังนี้
9. กัณฑ์ที่ 9 มัททีปัพพะ (มัทที) ประกอบด้วยคาถา 97 คาถา
คาถาที่ 689 (1183) เตสํ ลาลปิตํ สุตฺวา ตโต วาฬา วเน มิคา
สีโห
พิยคฺโฆ จ ทีปิ จ อิทํ วจนมพฺรวุ ฯ
(แปล) เทวดาเหล่านั้นได้ฟังสองพระกุมารทรงพิลาปร่ำรำพันแล้ว
จึงได้กล่าวกะเทพบุตรทั้ง 3 ว่า ท่านทั้ง 3 จงแปลงเพศเป็นสัตว์ดุร้ายในป่า คือ เป็นราชสีห์
เสือโคร่ง เสือเหลือง
คาถาที่ 785 (1201)
อิติ มทฺที วราโรหา ราชปุตฺตี ยสฺสินี
เวสฺสนฺตรสฺส
อนุโมทิ ปุตฺตเก ทานมุตฺตมํ ฯ
(แปล)พระนางเจ้ามัทรีผู้ทรงพระรูปพระโฉมอันอุดม
เป็นพระราชบุตรีผู้มียศทรงถวายอนุโมทนาปุตตทาน อันอุดมของพระเวสสันดร
ด้วยประการฉะนี้แล
10. กัณฑ์ที่ 10 สักกปัพพะ (สักกบรรพ์) ประกอบด้วยคาถา 49 คาถา
คาถาที่ 786 (1202) ตโตรตฺยา วิวสเน สุริยสฺสุคฺคมนํ ปติ
สกฺโก
พฺรหฺมณวณเณน ปาโต เนสํ อทิสฺสถ ฯ
(แปล) ลำดับนั้น เมื่อราตรีสิ้นไป พระอาทิตย์อุทัยขึ้นมา
เวลาเช้าท้าวสักกเทวราชทรงแปลงเพศเป็นอย่างพราหมณ์ ได้ปรากฏแก่สองกษัตริย์นั้น
คาถาที่ 834 (1214)
อิทํ วตฺวาน มฆวา เทวราชา สุชมฺปติ
เวสฺสนฺตเร วรํ ทตฺวา สคฺคกายํ อปกฺกมิ ฯ
(แปล) ครั้นตรัสพระดำรัสเท่านี้แล้วท้าวสุชัมบดีมฆวาฬเทวราช
ทรงพระราชทานพรแก่พระเวสสันดรแล้วได้เสด็จกลับไปยังหมู่สวรรค์
11. กัณฑ์ที่ 11 มหาราชปัพพะ (มหาราช) ประกอบด้วยคาถา 77 คาถา
คาถาที่ 835(1215) กสฺเสตํ มุขมาภาติ เหมํวุตฺตตฺตมคฺคินา
นิกฺขํว
ชาตรูปสฺส อุกฺกามุขปสํหิตํ ฯ
(แปล) นั่นหน้าของใครหนองามยิ่งนัก
ดังทองคำอันนายช่างหลอมด้วยไฟสุกใสหรือดังแท่งทองคำอันละลายคว้างที่ปากเบ้า
คาถาที่ 911 (1240)
เต คนฺตวา ทีฆมทฺธานํ อโหรตฺตานมจฺจเย
ปเทสนฺตํ อุปาคญฺฉํ ยตฺถ
เวสฺสนฺตโร อหุ ฯ
(แปล) พระเจ้าสัญชัยพร้อมทั้งราชบริพารเหล่านั้น
เสด็จไประยะทางไกลล่วงหลายวันหลายคืน จึงบรรลุถึงประเทศที่พระเวสสันดรประทับอยู่
12. กัณฑ์ที่ 12 ฉักขัตติยปัพพะ
หรือ ฉขัตฺติยปัพพะ(ฉกษัตริย์) ประกอบด้วยคาถา 43 คาถา
คาถาที่ 912 (1241) เตสํ สุตฺวาน นิคฺโฆสํ ภีโต เวสฺสนิตโร อหุ
ปพฺพตํ
อภิรูหิตฺวา ภีโต เสนํ อุทิกฺขติ ฯ
(แปล)พระเวสสันดรได้ทรงสดับเสียงกึกก้องแห่งกองพลเหล่านั้น
ก็ตกพระทัยกลัวเสด็จขึ้นภูเขา ทรงหวาดกลัวทอดพระเนตรดูกองพลเสนา
คาถาที่ 954 (1256) เวสฺสนฺตรญฺจ มทฺทิญฺจ สพฺเพ รฏฺฐา สมาคตา
ตฺวํ โนสิ อิสฺสโร ราชา รชฺชํ กาเรถ โน อุโภ ฯ
(แปล)
พระองค์เป็นพระราชาผู้เป็นใหญ่แห่งข้าพระบาททั้งหลาย
ขอทั้งสองพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดรับเสวยราชสมบัติเป็นพระราชาแห่งข้าพระบาททั้งหลายเทอญ.
13. กัณฑ์ที่ 13 นครกัณฑ์
ประกอบด้วยคาถา 46 คาถา
คาถาที่ 955 (1257) ธมฺเมน
รชฺชํ กาเรนฺตํ รฏฺฐา ปพฺพาชยิตฺถ มํ
ตฺวญฺจ
ชานปทา เจว เนคมา จ สมาคมา ฯ
(แปล)ฝ่าพระบาท ชาวชนบทและชาวนิคม
พร้อมใจกันเนรเทศข้าพระบาทผู้ครองราชสมบัติโดยธรรม จากแว่นแคว้น
คาถาที่ 1,000 (1269)
ตโต เวสฺสนฺตโร ราชา ทานํ ทตฺวาน ขตฺติโย
กายสฺส เภทา สปฺปญฺโญ สคฺคํ
โส อุปปชฺชถาติ ฯ
(แปล) ลำดับนั้น
พระเวสสันดรบรมกษัตริย์ผู้มีพระปัญญา ทรงบำเพ็ญทานแล้ว ครั้นสวรรคต พระองค์ก็ได้เสด็จเข้าถึงสวรรค์
ฉะนี้แล
พระสังคีติกาจารย์
ได้รวบรวมเนื้อเรื่องพระเวสสันดรโดยย่อกว่าเอาไว้อีกที่หนึ่ง เรียกว่า “เวสสันตรจริยา”
(พระจริยาวัตรการสร้างทานบารมีของพระเวสสันดร) ขอนำเสนอ ดังนี้
“นางกษัตริย์พระนามว่าผุสสดีพระชนนีของเรา
พระนางเป็นมเหสีของท้าวสักกะ ในชาติที่ล่วงมาแล้ว
ท้าวสักกะจอมเทพทรงเห็นว่าพระนางจะสิ้นอายุ จึงตรัสดังนี้ว่า เราจะให้พร 10 ประการแก่เธอ นางผู้เจริญ จะปรารถนาพรอันใด พอท้าวสักกะตรัสอย่างนี้เท่านั้น พระเทวีนั้นได้ทูลท้าวสักกะ ดังนี้ว่า หม่อมฉันมีความผิดอะไรหรือ หรือพระองค์เกลียดหม่อมฉันเพราะเหตุใด
จึงจะให้หม่อมฉันเคลื่อนจากสถานอันรื่นรมย์เหมือนลมพัดให้ต้นไม้หวั่นไหว
ฉะนั้นเมื่อพระนางผุสสดีตรัสอย่างนี้ ท้าวสักกะนั้นได้ตรัสกะพระนางดังนี้อีกว่า
เธอไม่ได้ทำความชั่วเลย และจะไม่เป็นที่รักของเราก็หามิได้
แต่อายุของเธอมีประมาณเท่านี้เอง เวลานี้เป็นเวลาที่เธอจักต้องจุติ เธอจงรับเอาพร 10 ประการอันประเสริฐสุด ที่ฉันให้เถิด พระนางผุสสดีนั้น มีพระทัยยินดี
ร่าเริงเบิกบานพระทัย ทรงรับเอาพร 10 ประการซึ่งเป็นพรอันท้าวสักกะพระราชทาน พระนางผุสสดีนั้น
จุติจากดาวดึงส์นั้นแล้ว มาบังเกิดในตระกูลกษัตริย์ ได้เป็นมเหสีของพระเจ้าสัญชัย
ในพระนครเชตุดร
ในกาลเมื่อเราลงสู่พระครรภ์ของพระนางผุสสดี
พระมารดาที่รัก ด้วยเดชของเรา พระมารดาของเราเป็นผู้ยินดีในทานทุกเมื่อ
ทรงให้ทานแก่คนยากจน คนป่วยไข้ คนแก่ ยาจก คนเดินทาง
สมณพราหมณ์คนสิ้นเนื้อประดาตัว คนไม่มีอะไรเลย พระนางผุสสดีทรงพระครรภ์ครบ 10
เดือน เมื่อพระเจ้าสัญชัยทรงทำประทักษิณพระนคร พระนางก็ ประสูติเรา ณ ท่ามกลางถนนของพวกคนค้าขาย
นามของเราจึงไม่เนื่องข้างฝ่ายพระมารดา และไม่เกิดเนื่องข้างฝ่ายพระบิดา
เพราะเราเกิดที่ถนนของคนค้าขายนี้ ฉะนั้น เราจึงมีชื่อว่า เวสสันดร
ในกาลเมื่อเราเป็นทารกอายุ
8 ปี ในกาลนั้น เรานั่งอยู่ในปราสาทคิดเพื่อจะให้ทานว่า เราพึงให้หทัย จักษุ แม้เนื้อและเลือด
เราพึงให้ทานทั้งกาย ถ้าใครได้ยินแล้ว พึงขอกะเรา เมื่อเราคิดถึงความเป็นจริง
จิตของเราไม่หวั่นไหว ไม่หดหู่ ในขณะนั้น
แผ่นดินเขาสิเนรุราชและป่าหิมพานต์ได้หวั่นไหว ในเดือนเต็มวันอุโบสถที่ 15
ทุกกึ่งเดือน เราขึ้นคอมงคลหัตถีปัจจัยนาค เข้าไปยังศาลาเพื่อจะให้ทานพราหมณ์ทั้งหลายชาวกาลิงครัฐ
ได้มาหาเราได้ขอพระยาคชสารทรง อันประกอบด้วยมงคลหัตถีกะเราว่า ชนบทฝนไม่ตก เกิดทุพภิกขภัย อดอยากมากมาย
ขอพระองค์ทรงโปรดพระราชทานพระยาคชสารตัวประเสริฐ เผือกผ่อง
อันเป็นช้างมงคลอุดมพราหมณ์ทั้งหลายขอสิ่งใดกะเรา เราย่อมให้สิ่งนั้นไม่หวั่นไหวเลยเราไม่ซ่อนเร้นของที่มีอยู่
ใจของเรายินดีในทาน เมื่อยาจกมาถึงแล้วการห้าม (การไม่ให้) ไม่สมควรแก่เรา
กุศลสมาทานของเราอย่าทำลายเสีย เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ
เราได้จับงวงพระยาคชสารวางลงบนมือพราหมณ์แล้วจึงหลั่งน้ำเต้าทองลงบนมือ ได้ให้พระยาคชสารแก่พราหมณ์
เมื่อเราให้พระยามงคลคชสารอันอุดม เผือกผ่อง แม้ในกาลนั้น แผ่นดินเขาสิเนรุราช
และป่าหิมพานต์ก็ได้หวั่นไหว เพราะเราให้พระยาคชสารนั้น
ชาวพระนครสีพีพากัน โกรธเคือง มาประชุมกันแล้ว
ขับไล่เราจากแว่นแคว้นของตนว่า
จงไปยังภูเขาวงกต เมื่อชาวพระนครเหล่านั้นขับไล่
จิตของเราไม่หวั่นไหว ไม่หดหู่ เราได้ขอพรอย่างหนึ่ง เพื่อจะยังมหาทานให้เป็นไป
เมื่อเราขอแล้ว ชาวพระนครสีพีทั้งหมด ได้ให้พรอย่างหนึ่งแก่เรา
เราจึงให้เอากลองคู่หนึ่งไปตีประกาศว่าเราจะให้มหาทานครั้นเมื่อเราให้ทานอยู่ในโรงทานนั้น
เสียงดังกึกก้องอึงมี่ย่อมเป็นไปว่า ชาวพระนครสีพีขับไล่พระเวสสันดรนี้เพราะให้ทาน
พระองค์จะยังให้ทานอีกเล่า เราได้ให้ช้าง ม้า รถ ทาสี ทาส แม่โค ทรัพย์
ครั้นให้มหาทานแล้ว ก็ออกจากพระนครไปในกาลนั้น ครั้นเราออกจากพระนครแล้ว
กลับผินหน้ามาเหลียวดู แม้ในกาลนั้น แผ่นดินเขาสิเนรุราชและป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว
เราให้ม้าสินธพ 4 ตัว
และรถ แล้วยืนอยู่ที่ทางใหญ่ 4 แยก
ผู้เดียวไม่มีเพื่อนสอง ได้กล่าวกะพระนางมัทรีเทวีดังนี้ว่า ดูกรแม่มัทรี
เธอจงอุ้มกัณหากุมารีเถิด เพราะเธอเป็นน้องคงเบากว่า พี่จะอุ้มพ่อชาลี เพราะเขาเป็นพี่คงจะหนักพระนางมัทรีทรงอุ้มแม่กัณหาผู้อ่อนนุ่ม
ดังดอกปทุมและบัวขาว เราได้อุ้มพ่อชาลีหน่อกษัตริย์ เปรียบดังแท่งทองคำ
ชนทั้ง
4 เป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติเกิดในสกุลสูง
ได้เสด็จดำเนินไปตามทางอันขรุขระและราบเรียบ ไปยังเขาวงกต มนุษย์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
เดินตามมาในหนทางก็ดี สวนทางมาก็ดี เราทั้งหลายได้ไต่ถามเขาถึง
หนทางว่า เขาวงกตอยู่ที่ไหน
เขาเห็นเราทั้งหลาย ณ ที่นั้นแล้ว ได้เปล่งเสียงอันประกอบด้วยกรุณาว่า
กษัตริย์เหล่านี้คงจะต้องได้เสวยทุกข์อย่างยิ่ง เพราะเขาวงกตยังไกล
ถ้าพระกุมารทั้งหลายเห็นต้นไม้ อันมีผลในป่าใหญ่ พระกุมารกุมารีก็จะทรงกรรแสง
เพราะเหตุแห่งผลไม้เหล่านั้น ต้นไม้ทั้งหลายอันสูงใหญ่ไพศาล เห็นพระกุมาร
กุมารีทรงกรรแสงก็โน้มยอดลงมาหาพระกุมารและพระกุมารีเอง
พระนางมัทรีผู้ทรงความงามทั่วสรรพางค์ ทรงเห็นความอัศจรรย์นี้ อันไม่เคยมีมา
น่าขนลุกขนพอง จึงยังสาธุการให้เป็นไปว่า ความอัศจรรย์อันไม่เคยมีในโลก
บังเกิดขนชูชันหนอ หมู่ไม้น้อมยอดลงมาเอง ด้วยเดชแห่งพระเวสสันดร
เทวดาทั้งหลายได้ย่นทางให้ ด้วยความเอ็นดูพระกุมารกุมารี
ในวันที่เราออกจากพระนครสีพีนั้นเองเราทั้ง 4 ได้ไปถึงเจตรัฐ ในกาลนั้น พระราชา
(เจ้า) หกหมื่นองค์อยู่ในพระนครมาตุละ ต่างก็ประนมกรอัญชลีพากันร้องไห้มาหา
เราเจรจาปราศรัยกับโอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านี้อยู่ ณ ที่นั้น
ให้โอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านั้นกลับที่ประตูนั้นแล้ว ได้ไปยังเขาวงกต
ท้าวสักกะจอมเทวดา ตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก แล้วรับสั่งให้ไปเนรมิตบรรณศาลาอย่างสวยงาม
น่ารื่นรมย์สำหรับเป็นอาศรม เราทั้ง 4 คน มาถึงป่าใหญ่อันเงียบเสียงอื้ออึง
ไม่เกลื่อนกล่นด้วยฝูงชนอยู่ในบรรณศาลานั้น
ณ เชิงเขา ในกาลนั้น พระนางมัทรีเทวี พ่อชาลีและแม่กัณหาทั้งสอง
บรรเทาความเศร้าโศกของกันและกันอยู่ในอาศรม เรารักษาเด็กทั้งสองอยู่ในอาศรม
อันไม่ว่างเปล่า พระนางมัทรีนำผลไม้มาเลี้ยงคนทั้งสาม
เมื่อเราอยู่ในป่าใหญ่
ชูชกพราหมณ์เดินเข้ามาหาเรา ได้ขอบุตรทั้งสองของเรา คือ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินา
เพราะได้เห็นยาจกเข้ามาหา ความร่าเริงเกิดขึ้นแก่เรา ในกาลนั้น เราได้พาบุตรทั้งสองมาให้แก่พราหมณ์
เมื่อเราสละบุตรทั้งสองของตนให้แก่ชูชกพราหมณ์ในกาลใด แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน
เขาสิเนรุราช และป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว
ท้าวสักกะทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์
เสด็จลงจากเทวโลก มาขอพระนางมัทรีผู้มีศีลมีจริยาวัตรอันงามกะเราอีก
เรามีความดำริแห่งใจอันเลื่อมใส จับพระหัตถ์พระนางมัทรี ยังฝ่ามือให้เต็มด้วยน้ำ
ได้ให้พระนางมัทรีแก่พราหมณ์นั้น เมื่อเราให้พระนางมัทรี หมู่เทวดาในอากาศเบิกบาน
(พลอยยินดี) แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน เขาสิเนรุราช และป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว
เราสละพ่อชาลีแม่กัณหาชินาผู้ธิดา และพระนางมัทรีเทวีผู้มีจริยาวัตรอันงาม
ไม่คิดถึงเลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง เราจะเกลียดบุตรทั้งสองหามิได้
จะเกลียดพระนางมัทรีก็หามิได้ แต่สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
ฉะนั้นเราให้บุตรและภรรยาผู้เป็นที่รัก
อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อพระมารดาและพระบิดาเสด็จมาพร้อมกัน ณ ป่าใหญ่ ทรงกรรแสงสะอึกสะอื้นน่าสงสาร
ตรัสถามถึงสุขทุกข์กันอยู่
เราได้เข้าเฝ้าพระมารดาและพระบิดาทั้งสองผู้เป็นที่เคารพด้วย
หิริและโอตตัปปะ แม้ในกาลนั้น
แผ่นดินเขาสิเนรุราช และป่าหิมพานต์
ก็หวั่นไหวอีกครั้งหนึ่งเรากับบรรดาพระญาติของเราออกจากป่าใหญ่ จักเข้าสู่พระนครเชตุดร
อันเป็นนครน่ารื่นรมย์ แก้ว 7 ประการตกลงแล้ว มหาเมฆยังฝนให้ แม้ในกาลนั้นแผ่นดิน
เขาสิเนรุราชและป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว
แม้แผ่นดินนี้ไม่มีจิตใจไม่รู้สุขและทุกข์ก็หวั่นไหวถึง 7 ครั้ง
เพราะกำลังแห่งทานของเรา ฉะนี้แล”
ครั้นได้อ่านเรื่องราวสรุปย่ออีกที ก็ปะติดปะต่อเรื่องพระเวสสันดรได้ครบดังที่เสนอมา
ด้วยเหตุผลดังกล่าว
ผู้เขียนก็ขอเสนอ 2 ประเด็นหลัก ๆ
ตามกรอบข้างต้น ดังนี้
เวสสันตรชาตกวัณณนา
เป็นเรื่องการเสวยพระชาติในอดีตของพระพุทธจ้า ที่ชาวพุทธรู้จักกันดีในนาม พระเจ้า 500
ชาติ(ที่จริงมี 547 ชาติ)
มหาเวสสันดรชาดกเป็นเรื่องที่ 547 พระอรรถกถาจารย์ เริ่มนำเรื่องก่อน
ชาดกเรื่องที่ 1 ในชาตฏฐกถา เล่มที่ 1 กว่าจะเล่าชาดกครบทั้ง 547 เรื่อง
ก็แบ่งหนังสือเป็นเล่มได้ 10 เล่ม ท่านนำเข้าเรื่องตามรูปแบบ
การแต่งผสมระหว่างความเรียงกับคาถา ที่เรียกว่า รูปแบบ “วิมิสสพันธะ” ได่แก่การแต่งเรื่องที่ใช้คาถาและความเรียงที่สองอย่างปะปนกัน
ธรรมเนียมของการแต่ง
ท่านจะแต่ง “ปณามคาถา” คือ แสดงความเคารพนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย และปรารภเหตุที่ต้องแต่งอรรถกถานี้
บอกนามผู้แต่งว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน หากเป็นหนังสือชุดมีหลายเล่ม จะปรากฏ“ปณามคาถา”
เฉพาะในเล่มที่ 1 เท่านั้น (หากเป็นเล่มเดียว
ก็เริ่มด้วยปณามคาถา จบลงด้วยนิคมคาถาตามแบบอย่าง) ขอยกปณามคาถา หรือ
“คันถารัมภกถา” พอเป็นตัวอย่าง ดังนี้
“ชาติโกฏิสหสฺเสหิ ปมาณรหิตํ หิตํ
โลกสฺส โลกนาเถน กตํ เยน มเหสินา
ตสฺส ปาเท นมสฺสิตฺวา กตฺวา ธมฺมสฺส จญฺชลึ
สํฆญฺจ ปฏิมาเนตฺวา สพฺพสมฺมานภาชนํ
นมสฺสาทิโน อสฺส ปุญฺญสฺส รตนตฺเย
ปวตฺตสฺสานุภาเวน เฉตฺวา สพฺเพ อุปทฺเวฯ”
.............................
(แปล) ข้าพเจ้า ขอนมัสการพระยุคลบาทของพระโลกนาถเจ้า
ผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้ทรงทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก อันประมาณนับมิได้ด้วยพันโกฏิพระชาติ
ขอกระทำอัญชลีแต่พระธรรม และน้อมเคารพแด่พระสงฆ์ผู้เป็นดุจภาชนรองรับการเคารพทุกประการ
ด้วยอานุภาพแห่งบุญมีการน้อมไหว้เป็นต้นที่เป็นไปในพระรัตนตรัยนี้
จงตัดทำลายอุบาทว์ทั้งปวงเสีย...
พระอรรถกถาจารย์เมื่อจะเข้าสู่ชาดกต่างๆ
นิยมขึ้นต้นด้วยคาถาที่ยกอ้างมาจากพระบาลี ว่าพระพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่ไหน
อาศัยเหตุการณ์ใดจึงได้กล่าวคาถานี้ ดังความ ใน ทสวรกถาวณฺณนา ว่า “ผุสฺสตี
วรวณฺณาเภติ อิทํ สตฺถา กปิลวตฺถุ อุปนิสฺสาย นิโคฺรธาราเม วิหรนฺโต โปกฺขรวสฺสํ
อารพฺภ กเถสิ” แปลว่า
“พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ นิโครธาราม อาศัยกรุงกบิลพัสดุ์ราชธานี
ทรงปรารภฝนโบกขรพัสส์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ผุสฺสตี วรวณฺณาเภ ดังนี้ เป็นต้น
และอธิบายเหตุการณ์ว่า
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะได้แสดงเรื่องเวสสันดรชาดกนี้ พระองค์เสด็จมาจากที่ไหน เกิดเหตุอะไรขึ้นมา
จึงต้องเล่าเรื่องนี้ พระอรรถกถาจารย์ก็ได้ประพันธ์ตามลำดับกัณฑ์จนจบเรื่อง
และสรุปชาดก ว่า ผู้ใดบ้างในชาติที่เป็นเวสสันดร ได้กลับมาเกิด
เป็นใครบ้างในสมัยพุทธกาลนี้
1.
ทสวรคาถา ในกัณฑ์นี้ มีคำอธิบายเหตุการณ์ และศัพท์ต่าง
ๆ เช่น ก่อนเกิดเป็นพระนางผุสสดี เป็นใคร มาจากไหน ทำบุญอะไรไว้
จุติจากชาตินั้นแล้ว มีคติที่ไปอย่างไร ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ย้อนอดีตของพระนางผุสดีว่า
เมื่อ 91 กัล์ปที่ผ่านมา สมัยพระพุทธเจ้านามว่า วิปัสสี
พระนางเกิดเป็นพระราชธิดาองค์ใหญ่ของพระเจ้าพันธุมราช ในนครพันธุมวดี ได้นำแก่นจันทน์ที่พระบิดาพระราชทานมาบดเป็นผงและถวายเป็นพุทธบูชา
ปรารถนาอยากเกิดเป็นพระพุทธมารดาองค์ที่มาตรัสรู้ในอนาคต
ส่วนพระราชธิดาองค์น้อย ถวายเครื่องประดับทรวง ทั้งสองพระองค์ ครั้งล่วง 91
กัล์ปมา ได้มาเกิดเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากิกิ(บางแห่งกึกิ) และได้สดับพระธรรมเทศนา ของพระพุทธเจ้านามว่า กัสสปะ
ก็ได้บรรลุพระอรหันต์ ส่วนพระราชธิดาองค์พี่ นามว่า สุธรรมา
ในพระราชธิดาอีก 7 พระองค์ของพระเจ้ากึกิ
และในสมัยพระสิทธัตถะ ศากยโคตมพุทธเจ้า ก็ได้มาเกิดเป็นบุคคลต่างๆ ดังความว่า “นางสมณี
นางสมณคุตตา นางภิกษุณี นางภิกขุทาสิกา นางธรรมา นางสุธรรมาและนางสังฆทาสีเป็นที่
7
ราชธิดาทั้ง 7 เหล่านั้น ในพุทธุปบาทกาลนี้ มีนามปรากฏคือ นางเขมา นางอุบลวรรณา นางปฏาจารา
พระนางโคตมี นางธรรมทินนา พระนางมหามายา และนางวิสาขาเป็นที่ 7 ในราชธิดาเหล่านั้น นางผุสดี ชื่อ สุธรรมา”
พระนางผุสดีเป็นมเหสีของท้าวสักกะ
หรือ พระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เพราะสิ้นบุญจึงได้รับพร 10 ประการ และก็จุติ(เคลื่อน)มาเกิด(ปฏิสนธิ)เป็นพระนางผุสดี และได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าสัญชัย
เป็นมารดาพระเวสสันดร และมาเกิดเป็นพระนางมหามายา พระพุทธมารดา มีการยกคำศัพท์มาวิเคราะห์อธิบาย เช่น
ชื่อว่า ผุสฺสตี เพราะความเป็นผู้มีสรีระอ่อนนุ่ม ดุจถูกประพรมไว้ด้วยแก่นจันทน์แดง(รตฺตจนฺทนปริปฺโผสิเตน วิย สรีเรน ชาตตฺตา ผุสฺสตี
นาม กุมาริกา)
ในส่วนของ อารัพภกถา หรือ การนำเข้าสู่เรื่อง
มีหลายประเด็นที่น่าจะทำให้ชัดเจนตามข้อเท็จจริงและความน่าจะเป็นดังนี้
(1) พระสิริมังคลาจารย์
ก่อนที่จะเข้าเรื่องชาดก ก็จะเกริ่นพุทธประวัติ นับย้อนไปถึงสมัยที่บำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
โดยแบ่งออกเป็น 3 ยุค
คือ ทูเรนิทาน เรื่องราวที่เกิดในอดีตอันแสนไกลโพ้น คือนับแต่ครั้งเป็นสุเมธฤาษี
ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้าว่าจะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
จนมาถึงชาติเป็นพระเวสสันดร จุติไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต, อวิทูเรนิทาน เรื่องราวไม่ไกล
คือนับจากพระเวสสันดรจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตมาบังเกิดเป็นพระสิทธัตถะ
มาถึงการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์, และสันติเกนิทาน เรื่องราวใกล้
หรือ เรื่องปัจจุบัน คือ นับแต่เหตุการณ์หลังการตรัสรู้ การจนถึงการเสด็จอยู่ที่นิโครธาราม
กรุงกบิลพัสดุ์ พระสิริมังคลาจารย์บอกว่า หากอยากทราบรายละเอียดเรื่องนี้
มีปรากฏอยู่ในอรรถกถาอปณฺณกชาดก
เล่าไว้ที่เดียว แล้วต่อด้วยชาดกต่างๆ จนจบ เวสสันตรชาดก เป็นเรื่องที่ 547
(2) เรื่องสามเณรราหุลบรรพชาเมื่ออายุ 7 ขวบ
??
พระสิริมังคลาจารย์บอกไว้ตอนท้ายเวสสันตรทีปนี หน้า 473
ว่า พระพุทธเจ้าเสด็จปฐมนิวัติสู่นครกบิลพัสดุ์
ท้ายฤดูหนาวหลังการออกพรรษาแรก(ที่ทรงจำ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน) โดยออกจากนครราชคฤห์ ท่านก็อ้างตามพระอรรถกถาจารย์ว่า
พระศาสดาทรงยังธรรมจักรอันบวรให้เป็นไปแล้ว เสด็จสู่กรุงราชคฤห์โดยลำดับ
ประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์นั้นตลอดเหมันตฤดู มีพระอุทายีเถระเป็นมัคคุเทศก์
พระขีณาสพ 20,000 แวดล้อม เสด็จจนถึงกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นการเสด็จครั้งแรก” แต่ท่านนับวันและเวลาโดยละเอียด
ดังนี้คือ หลังการตรัสรู้ ทรงจำพรรษาแรกที่ป่าอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ออกพรรษา
เสด็จไปอุรุเวลา ประทับอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา 3 เดือน
เสด็จสูราชคฤห์เพ็ญเดือนยี่ อยู่ที่ราชคฤห์ 2 เดือน
เดินทางออกจากราชคฤห์ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 4 ใช้เวลาเดินทาง 2 เดือน ถึงนครกบิลพัสดุ์
วันเพ็ญเดือน 6 ในวันที่
2 โปรดพระพุทธบิดาบรรลุมรรคผล 2 ชั้น(บรรลุสกทาคามิผล)
พระน้านางปชาบดี บรรลุโสดาปิตติผล ให้พระนันทกุมาร(พระอนุชา)ผนวช และในวันที่ 7
ก็ให้พระราหุล บรรพชา และโปรดพุทธบิดาสำเร็จเป็นพระอนาคามี
แล้วเสด็จกลับไปจำพรรษาที่ 2 ที่ พระเวฬุวันวิหาร
เมืองราชคฤห์
ตีความได้ว่า
พระสิทธัตถะออกผนวชในวันที่พระราหุลกุมารประสูติ ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ 6
ปี ตรัสรู้แล้วทรงจำพรรษาแรก 1 ปี รวมเวลาเป็น
7 ปี การเสด็จกลับกบิลพัสดุ์ครั้งแรกเกิดขึ้นหลังออกพรรษาที่
1 โปรดให้พระราหุลบรรพชาเป็นสามเณร ในวันที่ 7 ที่ไปถึง
จึงทำให้ทุกคนอ้างกันว่า สามเณรราหุลบรรพชาเมื่ออายุ 7 ขวบ
ตามความเห็นของผู้เขียน
ขอแย้งเรื่องข้อมูลกับข้อเท็จจริงดังนี้
การที่พระเจ้าสุทโธทนะส่งทูตตั้ง 10 คณะ
แต่ละคณะ มีคนติดตามเป็นเกียรติยศ 1,000 นาย (รวมทั้งสิ้น 10,000
นาย) ไปเชิญให้กลับไปเยี่ยมหลังจากรู้ว่าพระสิทธัตถะตรัสรู้แล้ว
และพระพุทธเจ้าเสด็จไปกบิลพัสดุ์ หลังทูตคณะที่ 10 ได้กราบทูลเชิญตามคำของพระเจ้าสุทโธทนะ
ลองคิดหยาบๆ
ระยะทางจากกบิลพัสดุ์สู่ราชคฤห์ ห่างกันประมาณ 60 โยชน์(พระพุทธเจ้าทรงดำเนินกลับตามสบายได้ระยะทางวันละ
1 โยชน์ ใช้เวลา 60 วัน เท่ากับ 2
เดือน)
คณะทูตเดินทางมาอย่างเร่งด่วนด้วยพาหนะเร็ว เช่น ม้าเร็ว คงวิ่งได้วันละ 10
โยชน์(160 กิโลเมตรต่อวัน)
อย่างน้อยต้องใช้เวลา คณะละ 6 วัน และต้องกลับไปส่งข่าวอีก 6
วัน รวมระยะทางไป-กลับ เกือบ 15 วัน หรือครึ่งเดือน ประการสำคัญ
พระเจ้าสุทโธทนะ ต้องรอเวลาจนคาดการณ์ได้ว่า ทูตคณะแรกที่ส่งไปไม่กลับมาส่งข่าวแน่
จึงส่งทูตคณะที่ 2 ตามไป บวกลบการคาดคะเนเอาตามระยะทางและความจริงเช่นนี้
ทูตทั้ง 10 คณะ ต้องใช้เวลาทั้งหมด 5 เดือน
เป็นอย่างต่ำ หากคำนวณอย่างไม่เร่งรีบ
ตกคณะละ 1 เดือน ก็จะเป็น
10 เดือน
อนึ่ง การที่จะส่งคนไปตามหาใครก็ตาม
ต้องทราบชัดว่าผู้นั้นมีแหล่งพำนักเป็นที่อยู่แน่นอน ว่าอยู่ที่ไหน และยังไม่เร่ร่อนไปทางใด
หากพระเจ้าสุทโธทนะทราบว่า พระพุทธเจ้าอยู่วิหารเวฬุวัน นครราชคฤห์แน่ไม่ย้ายไปไหน
จึงส่งคณะทูตไปเชิญที่เวฬุวัน ดังข้อความข้างบนระบุว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปนครราชคฤห์ในเดือนยี่หลังโปรดชฏิลแล้ว
นับจากเดือนยี่ไป 5 เดือน
ทูตคณะสุดท้ายนำโดยพระกาฬุทายีไปถึง ก็คงเป็นเดือน 7 เกือบเข้าพรรษาแล้ว
เป็นไปไม่ได้ที่คณะทูตที่ 10 จะไปถึงก่อนเดือน 4 ท้ายฤดูหนาวพรรษาแรก ที่บอกว่าออกจากราชคฤห์ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 4 ตามที่กล่าวมา ถ้ายิ่งขยายเวลายึดออกไป
ทูต 10 คณะเป็น 10
เดือน นับแต่รู้ที่อยู่แน่นอน(เดือนยี่ หรือ เดือน 3 มาฆมาส) เวลาก็จะเข้ามาถึงเดือน 12 หรือ เดือน อ้าย
หลังการจำพรรษาที่ 2 ณ เวฬุวันวิหาร
เป็นเวลาที่เหมาะสมที่พระกาฬุทายี ออกบวชและรอเวลาให้หมดฝนต้นหนาว เดือน ยี่
ก็เลยทูลว่าพระราชบิดาให้เชิญเสด็จกลับไปเยี่ยม และกำหนดเดินทางในเดือน 4 หลังพรรษาที่ 2 ถ้าการณ์เป็นจริงดังการคำนวณนี้ พระพระพุทธเจ้าต้องเสด็จปฐมนิวัตกบิลพัสดุ์หลังพรรษาที่
2 และพระโอรสราหุลบรรพชาเมื่ออายุ 8 ขวบ
การสรุปเช่นนี้ ผู้เขียนมิใช่ว่าตามอำเภอใจ
เห็นมีหลักฐานอื่นพอจะเป็นเครื่องช่วยให้มั่นใจข้อสันนิษฐานนี้ได้ คือ ในปฐมสมโพธิ(ฉบับภาษาบาลี)
คัดลอกจากคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ชำระและนิพนธ์โดย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส(พระองค์เจ้าวาสุกรี พระราชโอรส องค์ที่ 28
ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกกับเจ้าจอมมาดาจุ้ย
ต่อมาได้เป็นท้าวทรงกันดาลในรัชกาลที่ 2-3) วัดพระเชตุพนฯ เมื่อครั้งเป็นพระสมณะ ฉายา สุวณณรังสี
กรมหมื่นปรมานุชิตชิโนรส ในปีพ.ศ. 2388 (สมัยรัชกาลที่ 3 กรุงรัตนโกสินทร์)
พระเจ้าสุทโธทนะ ทรงทราบแน่นอนว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน
เมืองราชคฤห์ จึงส่งทูตไปครั้งแรก ดังความใน ปริจเฉทที่ 18
กปิลวตฺถุคมนปริวตฺต ว่า
“ตถาคเต ปน ตสฺมึเยว เวฬุวนุยฺยาเน วิหรนฺเต สุทฺโทนมหาราชา ปุตฺโต กิร เม ฉ
วสฺสานิ ทุกฺกรการิกํ จริตฺวา
ปรมาภิสมฺโพธึ ปตฺวา ปวตฺติตปวรธมฺมจกฺโก ราชคหํ อุปนิสฺสาย เวฬุวเน
วิหรตีติ สุตฺวา...อมจฺจํ อามนฺเตสิ ...ปุตฺตํ เม คณฺหิตฺวา เอหิ... อาห.”
(แปลว่า ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระอุทยานเวฬุวันนั้นเอง
พระเจ้าสุทโธทนะได้ทราบว่า บุตรของเราบำเพ็ญทุกรกิริยาสิ้น 6 ปี บรรลุการรู้แจ้งอย่างยอดเยี่ยมแล้ว
แสดงธรรมจักรแล้วอาศัยนครราชฤห์พำนักที่พระเวฬุวัน ทรงเรียกอำมาตย์มา สั่งว่า
ท่านจงไปพาบุตรเรามา)
ความในหน้า 164 ในปฐมสมโพธิ ก็ดูจะคล้อยตามอรรถกถาว่า พระกาฬุทายี มาถึงก่อนสิ้นเดือน 4
หลังออกจากพาราณสี มาอยู่ราชคฤห์เพียง 4 เดือน
ความดูจะขัดๆกันอยู่ยกเว้นคณะทูต ทั้ง 10 คณะ
ไล่กันมาโดยไม่รอคำตอบของคณะก่อนๆ และเดินทางแบบเร่งรีบเฉลี่ยคณะละ 20 โยชน์ (เท่ากับ 320 กิโลเมตร) ต่อวัน
คณะละ 3 หรือ 4 วัน ก็ใช้เวลาประมาณ 1
เดือน หรือ เดือนครึ่ง ก็อาจเป็นได้ แต่คงไม่สมกับสภาพการคมนาคมที่กันดารในสมัยโบราณที่คนเป็นจำนวนพันหนึ่ง
จะเดินทางได้วันละ 320 กิโลเมตร
แต่เมื่อไปดูความต่อไป ใน ปริจเฉทที่ 19
พิมฺพาพิลาปปริวตฺต หน้า 181 ตอนที่พระนางพิมพาจูงมือพระราหุลเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าที่ทรงเสด็จเข้าโปรดถึงห้องบรรทม
พระนางพิมพา ทั้งดีพระทัยและถูกความโศกครอบงำ ไม่อาจกลั้นอัสสุชล ที่ไหลหลั่งลงมา
ปิดสายพระเนตรจนพล่ามัวที่ต้องการทอดพระเนตรพระสวามีให้ชัดเจน พระนาง
ตัดพ้อน้ำตาว่า “...ภตฺตุทสฺสนาย อุสฺสุกฺกมาปนฺนา คงฺคาโสเตหิ วิย นยนสลิเลหิ
สมาหตทิฏฺฐตาย ยถา สุขํ ปสฺสิตุ อสกฺโกนฺตี อสฺสุชลํ เอวมาห หาหานยนสลิล อฏฐสุ
สํวจฺฉเรสุ ตุยฺหํ โอกาโส มยา ทินฺโน อิทานิ ปน เม สมาคตสฺส ภตฺตุโน
ทสฺสนมตฺตมฺปิ น เทสิ...” พระนางพิมพา พยายามจะทอดพระเนตรพระภัสดา
แต่ไม่อาจทอดพระเนตรได้อย่างสะดวก
เพราะน้ำอัสสุชลไหลหลั่งลงมาดุจกระแสแห่งน้ำแม่คงคา จึงตัดพ้อน้ำอัสสุชลว่า โอหนอ
เจ้าน้ำตาเอ๋ย ข้าให้โอกาสเจ้ามาตลอดทั้ง 8 ปี(กันแสงหลั่งน้ำตามตลอด 8 ปี) แล้ว
แม้เดี๋ยวนี้เจ้าก็ยังไม่ให้โอกาสข้าได้แม้เพียงการทอดพระเนตรพระภัสดาที่มาถึงแล้วหรือไร..”
ผู้อ่านจงตัดสินใจว่า จะความลงไปข้างใด
พระพุทธเจ้าเสด็จไปกบิลพัสดุ์หลังพรรษาที่ 1 หรือ
หลังออกพรรษาที่ 2 และพระราหุลพรรชาเป็นสามเณร
เมื่ออายุ 7 ขวบ หรือ อายุ 8 ขวบ
(3) พระสิริมังคลาจารย์ไม่เห็นด้วยกับพระอรรถกถาที่อ้างว่า
พระนางผุสดี หรือพระนางมายา เป็นธิดาองค์ที่ชื่อว่า สุธรรมา ในธิดา 7
พระองค์ของพระเจ้ากึกิ
ดังที่กล่าวมาในอรรถกถา เพื่อความกระจ่าง ท่านได้ค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งอื่น คือ
คัมภีร์เถรีอปาทาน ของพระเถรีทั้งหลาย ที่ต่างเล่าอดีตชาติของตนว่า
ตนเกิดเป็นธิดาของพระเจ้ากึกิ และธิดาที่ชื่อสุธรรมา มิใช่ พระนางผุสดีในเวสสันดร
หรือ พระนางมายา พุทธมารดา ในปัจจุบันชาตินี้ เช่นที่พระอรรถกถาสรุปว่า พระธิดาสมณี เป็นพระนางเขา พระธิดาสมณคุตตา
เป็นพระนางอุบลวรรณา พระธิดาภิกขุณี เป็นพระนางปฏาจารา พระธิดาภิกขุทาสิกา
เป็นพระนาง (กีสา)โคตมี พระธิดาธรรมา เป็นพระนางธรรมทินนา พระธิดาสุธรรมา
เป็นพระนางมหามายา และพระธิดาสังฆทาสี เป็นนางวิสาขา
พระสิริมังคลาจารย์ว่า ผิดจาก กุณฑลเกสีภิกขุนีอปาทานบาลีว่า
เราเกิดเป็นธิดาองค์ที่ 4 นามว่า ภิกขุทาสี ดังนั้น ภิกขุทาสี หรือ ภิกขุทาสิกามิใช่พระนางกีสาโคตมี
แต่เป็นพระนางกุณฑลเกสีเถรี และ ในกีสาโคตมีเถรีอปาทานบาลี ก็ว่า
พระนางเกิดเป็นพระธิดาองค์ที่ 5 ชื่อ ธรรมา
ส่วนพระธิดาองค์ที่ 6 เป็นพระนางธรรมทินนาเถรี ดังข้อมูลใน ธมฺมทินนาเถรี
อปาทานบาลี ว่า เรานั้นเป็นธิดาองค์ที่ 6 นามว่า
สุธรรมา ส่วนพระธิดาที่เหลือความตรงกัน ท่านจึงสรุปว่า
“สมณี เขมา สมณคุตฺตา อุปลวณฺณา ภิกขุณี
ปฏาจารา ภิกขุทาสิกา กุณฺฑลเกสี ธมฺมา
กีสาโคตมี สุธมฺมา ธมฺมทินฺนา สํฆทาสี วิสาขา”
การสลับคน ระหว่างพระนางมายา
กับพระนางธรรมทินนาเถรี ที่อดีตพระธิดาพระนามว่า สุธรรมา ของราชากึกินั้น
พระสิริมังคลาจารย์ก็เสนอว่า เป็นเพียงมติของพระชาตกภาณกาจารย์
ซึ่งเป็นการอ้างผิดจากพระบาลีเถรีอปาทาน เมื่อชั่งน้ำหนักของข้อมูลที่ควรให้ความสำคัญจริงๆ
ต้องยกเอาพระบาลีเป็นหลัก แล้วผู้ใดในบรรดาพระธิดาของราชากึกิที่มาเกิดเป็นพระนางผุสดี
? พระสิริมังคลาจารย์ให้ความเห็นว่า ในเมื่อพระเจ้ากึกิ
เมืองกาสี มีพระธิดาอื่นๆอีก
เช่นพระนางอุรัจฉทา พระธิดาองค์น้อย
ดังนั้น พระธิดาองค์ใหญ่ก็น่าจะมีอีกพระองค์หนึ่ง
คือ ที่มาเกิดเป็นพระนางผุสดี (หรือพระนางมหามายาในชาติปัจจุบันสมัยพุทธกาล) ผู้เป็นต้นเรื่อง
เวสสันตรชาดก ที่ขึ้นต้นด้วย ผุสฺสตี วรวณฺณาเภ นั่นเอง
เนื้อเรื่องของเวสสันตรทีปนีแบ่งออกเป็น
13 ปริจเฉท หรือ 13 กัณฑ์
ตามแนวเดิมของเวสสันดรชาดก ในตอนนี้ ผู้เขียนจะนำเฉพาะ เหตุการณ์ คำศัพท์
หรือคำอธิบายที่พระสิริมังคลาจารย์วิเคราะห์ โดยอ้างข้อมูล หลักฐาน
รวมทั้งคำวิจารณ์ เรียงลำดับตาม มหาเวสสันดร ทั้ง 13 กัณฑ์ โดยจะไม่นำเนื้อหามาแสดงให้เยิ้นเย้ออีก
ดังนี้ คือ
1. ทสวรคาถาปริจเฉท
พระสิริมังคลาจารย์
จับความ วิเคราะห์ศัพท์ตั้งแต่ ชื่อพระนางผุสดี ชื่อเมืองกบิลพัสดุ
และศัพท์อื่นๆที่ ควรสนใจที่ไปที่มา มีเรื่องที่น่ารู้ คือ ที่เรียกว่า ทารก
ทาริกา หรือ กุมาร กุมารี กำหนดอายุเท่าใด ท่านก็บอกว่า ทารก(ทาริกา)
หมายเอาเด็กชาย(หญิง)มีอายุ 8 ปี กุมาร(กุมารี) หมายเอาเด็กชาย(หญิง) มีอายุ
12
ปี (อฏฺฐวสฺสิโก ปุริโส
ทารโกนาม ฯ ทวาทสวสฺสิโก กุมาโร ฯ)
พระนางผุสดีเทวธิดาปรากฏปัญจบุรพนิมิต
ซึ่งจะต้องจุติจากสวรรค์ภายใน 7 วันโดยวันของมนุษย์
บุรพนิมิต 5 ประการ คือ 1. ทิพยบุปผาที่ประดับกายเหี่ยวเฉา
2. อาภรณ์ทิพย์ภูษาทรงหม่อนหมอง 3. เหงื่อไหลออกจากซอกใต้วงแขน(รักแร้)
4. ผิวพรรณวรรณะหมองคล้ำ(ความชราปรากฏ)
5. ไม่ยินดีในทิพยอาสน์ เฉพาะเรื่องบุรพนิมิต 5 ประการ พระสิริมังคลาจารย์ค้นคว้าข้อมูลว่าในอรรถกถากุสราชชาดก
สัตตตินิบาต สลับกันระหว่างข้อที่ 3 เป็น ผิวพรรณวรรณะหมองคล้ำ(ความชราปรากฏ)
และ ข้อที่ 4 เป็นเหงื่อไหลออกจากซอกใต้วงแขน(รักแร้) ส่วนข้อที่เหลือตรงกัน และพระสิริมังคลาจารย์ก็นำเอาปัญจบุรพนิมิตมาเทียบกับพระภิกษุที่จะสึกออกจากเพศบรรพชิตว่าถ้าปรากฏนิมิต
5 ประการ คือ 1. ดอกไม้ทิพย์คือศรัทธาเหี่ยวเฉา 2. เครื่องทรงคือศีลเศร้าหมองด่างพร้อย 3. ผิวพรรณหมองค้ำเพราะเป็นผู้เก้อเขินและเพราะความไม่มียศ
4. เหงื่อคือกิเลสย่อมไหลออก และ 5. ไม่ยินดีในเสนาสนะป่า
โคนต้นไม้ และเรือนว่างเปล่า แม้จะมีความสลับที่กันท่านบอกว่าควรให้ความสำคัญกับข้อมูลในอรรถกถาอัจฉริยธัมมสูตร
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์, อรรถกถาจตุตถสูตร ตติยวรรค ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ, และอรรถกถามหาปัฏฐานสูตร มหาวรรค ทีฆนิกาย,
และอรรถกถามหาปทานสูตร
2. หิมวันตวรรณนาปริจเฉท
ในกัณฑ์หิมพานต์
นี้ พระสิริมังคลาจารย์ก็เล่าต่อ เนื้อความยาวถึง 2 ผูก ว่า เมื่อพระอินทร์ประทานพรแก่พระนางผุสดีเทวกัญญา พระนางก็ลงมาเกิด
เป็นมเหสีของพระเจ้าสัญชัย ได้พระโอรสนามว่าเวสสันดร ตามพระที่พระอินทร์ประทานให้
พระเวสสันดรมีมเหสีนามว่ามัทรี ได้พระโอรสนามว่า ชาลี พระธิดานามว่ากัณหาชินา เป็นผู้มีใจฝักใฝ่ให้ทาน
จนเป็นเหตุให้ชาวเมืองขับไล่พระเวสสันดร เพราะพระราชทานช้างปัจจัยนาคคู่บ้านคู่เมืองแก่ชาวเมืองกาลิงคะ
การเนรเทศต้องให้ออกไปอยู่ป่าหิมพานต์แสนไกล
จึงมีพนักงานบรรยายสถานที่เขาวงกตในป่าหิมพานต์ว่าน่ารื่นรมย์ และพระนางมัทรีก็พรรณนาเสริมว่า
ในป่าหิมพานต์มีสรรพสิ่ง พฤกษานานาพรรณ สัตว์ป่านานาชนิดน่าดูน่าชม
เพลินจนลืมราชสมบัติได้
การอธิบาย
ท่านจะบอกว่าคาถานี้ มีคำที่ควรอธิบาย ทั้งโดยศัพท์และเนื้อหาประกอบ ดังคำอธิบายเรื่องลักษณะบุตร
4
ประเภท แต่บอกเพียง 3 ประเภท คือ อัตรชบุตร
(บุตรผู้เกิดจากตน) เขตรชบุตร (บุตรที่เกิดในที่ เช่น บนบัลลังก์ เป็นต้น)
และ อันเตวาสิกบุตร (บุตรที่เรียนศิลปะวิชาด้วย) ต่อเมื่ออธิบายขยายความจึงได้บุตรครบ
4 ประเภท โดยเพิ่ม ทินนกบุตร(บุตรที่เขายกให้เลี้ยงดู)
ดังความว่า “ปุตฺโต จ นาเมส อตฺรโช
เขตฺรโช อนฺเตสาวิโกคิ จตุพฺพิโธฯ ตตฺถ...โปสาวนตฺถาย ทินฺโน ทินฺนโกนามาติ
กฏฺฐหาริกวณฺณนายํฯ” และคำว่า โอรส กับ อัตรช
เป็นคำไวพจน์กัน
พระสิริมังคลาจารย์
ได้ยกคำมาอธิบายทั้ง รากศัพท์(ธาตุ) การประกอบปัจจัย และวิภัติ
การแผลงรูปวิภัตติทั้งอาขยาตและนาม เช่น คำว่า มาลธาริเนติ วนปุปฺผธาริเน
อีสฺส อิโน โยสฺเสตฺตํ (บทว่า
มาลธาริเน คือผู้ทัดทรงดอกไม้ป่า เอา อี
เป็น อิน เอา โย เป็น เอ
จากศัพท์เดิม มาลธารี)
และอธิบายไวยากรณ์บาลีทำนองนี้ตลอดเรื่อง
ได้พบว่า
พระสิริมังคลาจารย์แสดงถึงอายุขัยของช้างโดยอ้างข้อมูล อย่างน้อย 3
ที่มา คือ อรรถกถากักกชาดก ในติกนิบาตรอรรถกถา สัพพูกิกชาดก
และอ้างฎีกาอังคุตรนิกาย ว่า ช้างมีอายุเพียง 60 ปี ดังคำว่า
สฏฺฐิหายนนฺติ ชาติยา สฏฺฐิวสฺสกาลสฺมึ กุญฺชรา ถามเมน
ปริหายนฺติ(ช้างทั้งหลายมีกำลังเสื่อมถอยลงในเวลาเมื่อมีอายุได้ 60 ปี นับแต่เกิดมา
3. ทานกัณฑปริจเฉท
พระสริมังคลาจารย์ก็อธิบายเนื้อความยาวอีก 2
ผูก โดยยกคาถาต่อจากกัณฑ์หิมพานต์ ว่าพระนางผุสดีได้สดับเสียงที่พระโอรสและพระสุณิสาสนทนากัน
แล้วไขความคำว่า ผุสฺสตีปี มีวินิจฉัยดังนี้ หลังคำผุสสตี มีคำนิบาต อปิ
หรือ ปิ ก็ได้ อปิ ศัพท์ยังเป็นอุปสัค ที่ใช้ในความหมายแยกเฉพาะ(อเปกขัตถะ)
แปลว่า ส่วน หมายถึงการไปตำหนักพระนางมัทรี พระเวสสันดรไปก่อน
ส่วนพระนางผุสดีก็ตามไปในภายหลัง มิได้เสด็จไปพร้อมกัน
พระสิริมังคลาจารย์ก็ยกนักปราชญ์ คือท่านรัตนบัณฑิต(ไม่แน่ใจว่าเป็นท่านรัตนปัญญา
หรือไม่)ว่า ผุสฺสตีปิ แปลว่า ส่วนพระนางผุสดี
ในทานกัณฑ์นี้ จุดใหญ่แสดงการให้ทานอันยิ่งใหญ่
เรียกว่า สัตตสตกมหาทาน คือ ให้ทานอย่างละ 700 ชุด รวมทั้งการให้สุรา(วารุณี)เป็นทานด้วย แม้การให้สุราเป็นทานจะไม่มีอานิสงส์
แต่ก็ต้องให้กับนักดื่มสุราที่มาขอแล้วต้องไม่พบความผิดหวังกลับไป
ดังที่กล่าวมาในอรรถกถาเวสสันดรแล้ว
พระสิริมังคลาจารย์
ยกตำนานการเกิดนำสุรามาเล่าด้วย โดยอ้างอรรถกถากุมภชาดก ว่า น้ำเมาที่มีชื่อว่า
วารุณี เป็นน้ำดื่มที่ดาบสทุศีลนามว่า วรุณ ปรุงขึ้นมา และที่ชื่อว่า สุรา
เพราะนายพรานป่าชื่อ สุระ ไปพบเข้า เพื่อขยายความการให้ทานสุราไม่มีผลดีนั้น
จึงยกคำสนทนาในมิลินทปัญหามาอ้างดังนี้
พระยามิลินท์ถามว่า
“ท่านพระนาคเสน การให้ 10 อย่างที่จัดป็นทานไม่ได้
ผู้ใดให้ต้องตกอบาย คือ อะไรบ้าง” พระนาคเสนถวายวิสัชชนาแด่พระยามิลินท์ว่า “1.
ให้เนื้อสด (อมากมํสทานํ) 2.
ให้หญิงแก่ชายเพราะหมายเพศสัมพันธ์(อิตฺถีทานํ) 3. ให้แม่โคเพื่อพ่อโค(อุสภทานํ) 4. ให้ทานน้ำเมา(มชฺชทานํ)
5. ให้จิตรกรรม (จิตฺกมฺมทานํ) 6. ให้ยาพิษ(วิสทานํ) 7. ให้เครื่องผูก คือ โซ่ตรวน(สํขลิกทานํ)
8. ให้ไก่ตัวเมียแก่ไก่ตัวผู้(กุกกุฏทานํ) 9. ให้สุกรตัวเมียแก่สุกรตัวผู้(สุกรทานํ)
10. ให้เครื่องชั่ง
เครื่องตวงโกง(กํสกูฏตุลากูฏมานกูฏทานํ)
พระสิริมังคลาจารย์ให้ความเห็นว่า
การที่พระเวสสันดรให้ทานสุราเพราะกรงข้อครหานั้น เป็นสัญญาวิปัลลาส เข้าข่ายทิฏฐุมมัตตโก(คนฟั่นเฟือนแปรปรวนเพราะทิฏฐิ
คือความเห็นวิปัลลาส)ในจำนวนคนฟั่นเฟือน 8 ประเภท
มีที่มาในทรีมุขชาดก
และอรรถกถาทรีมุขชาดกที่
3 พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย ชาดก ฉักกนิบาต เล่ม 3 ภาค 5 หน้าที่ 37-38 ว่า “ในโลกนี้ มีคนบ้า 8
จำพวก ได้แก่ 1. กามุมมัตตโก(บ้าเพราะกามเพราะอำนาจความโลภ) 2. โกธุมมัตตโก(บ้าเพราะความโกรธ)
3. ทิฏฐุมมัตตโก(ฟั่นเผือนแปรปรวน บ้าเพราะทิฏฐิ) 4. โมหุมมัตตโก(บ้าเพราะความหลงเลือนไม่รู้) 5. ยักขุมมัตตโก(บ้าเพราะถูกยักษ์/ผีเข้าสิง)
6. ปิตตุมมัตตโก(บ้าเพราะดีเดือด 7. สุรุมมัตตโก(บ้าเพราะเหล้า)
8. พยสนุมมัตตโก(บ้าเพราะความทุกข์โศก)
มีการเข้าใจคลาดเคลื่อนโดยทั่วไประหว่างคำว่า
“วนิพก(วณิพพก)” กับคำว่า “ยาจก”
ทั้งสองคำ หมายถึง ขอทานเหมือนกัน แต่ต่างกันที่วิธีการ วนิพก
หมายถึงขอโดยการเล่นดนตรี ส่วน ยาจก คือขอทานทั่วไป ท่านแสดงหลักฐานหลายแห่งว่า
สองคำนี้ต่างกัน เช่นใน อรรถกถาเทวปุตตสังยุตต์ อรรถกถาและฎีกากูฏทันตสูตร ว่า วณิพพก ได้แก่
ผู้ขอโดยประกาศคุณและผลกรรมของทายกตลอดถึงวงสกุลว่า ท่านให้สิ่งที่ถูกใจพอใจ
เป็นสิ่งที่ไม่มีโทษเมื่อใจเลื่อมใส ขอให้ไปสู่ภพพรหมโลก(สุคติ) และ ยาจก
ได้แก่พูดขอว่าจงให้สักกำหนึ่ง จงให้สักขันหนึ่ง โดยไม่ได้ประกาศคุณและผลบุญของผู้ให้
เมื่อพระเวสสันดรให้ทาน
ท่านตั้งความปรารถนาว่า สพฺพญฺญุตฺตญาณสฺส เม อิทํ ปจฺจโย
โหตุ(ขอทานแห่งเรานี้จงเป็นปัจจัยแก่พระสัพพัญตตญาณเถิด)
4.
วนัปปเวสปัพพปริจเฉท พระสิริมังคลาจารย์
อธิบายคำว่า เขาวงกต เป็นนามบัญญัติ
ที่ระบุถึงภูเขาที่มียอดลดหลั่นเป็นหลืบชั้นวกวน พร้อมทำรูปศัพท์ให้เห็นถึงความรู้ทางไวยากรณ์บาลีว่า
วงกต มาจากคำว่า วังก(คดเคี้ยว) ลง ต อาคม เพื่อการออกเสียงสะดวกประการหนึ่ง หรือวิธีหนึ่ง
ลง ตา ปัจจัย แห่งภาวตัทธิต ดุจคำว่า เทวตา ก็คือ เทวะ ทิสตา ก็คือ ทิส(ทิศ)
วังกตา จึงเป็นวังกตะ (รัสสะทำให้เสียงสระ อา สั้นลงเป็นเสียงสระ อะ)
อีกประการหนึ่ง ลง ต ปัจจัย ในอรรถแห่ง
“มันตุ” ที่แปลว่ามี
คำว่า บรรพต หรือ ปัพพตะ มาจาก ปัพพ คือ
พับไปพับมา ลง ตา ปัจจัย เป็น ปัพพตา แปลว่า มีทิวเขาสลับซับซ้อนพับไปทบมา
และเขาวงกต ก็คือ เขาคันธมาทน์ ที่แปลความหมายว่า
ภูเขาที่ทำให้คนเมาด้วยกลิ่นหอมของต้นไม้(ราก เปลือก แก่น ใบ ดอก ผล)ตามธรรมชาติ
ชื่อสถานที่ต้องผ่านไปจากนครเชตุดร
ถึง นครมาตุละ หรือ เจตรัฐ นครของราชาเจตราช ในเวสสันตรทีปนี กล่าวชื่อบางแห่งผิดไปจากอรรถกถา
ดังนี้
ภูเขาสุวรรณคิริตาละ
ยังคงชื่อเดิม แต่บาลีคฤนท์เรียกว่า สุวรรณหริตาละ
แม่น้ำโกนติมารา
คงชื่อเดิม
ภูเขาอัญชนคิรี
ท่านเรียกว่า มารัญชนาคิรี
บ้านพราหมณ์ตุณณวิถนาลิทัณฑ์
ท่านเรียกว่า ทัณฑพราหมณคาม บาลีคฤนท์ เรียกว่า ทุนนวิฏฐพราหมณคาม
พระสิริมังคลาจารย์
อธิบายคำต่าง ๆ อ้างแหล่งข้อมูลทั้งหลาย แสดงความเป็นผู้รอบรู้ และอ่านมาก เช่น จากอรรถกถาวนวัจฉัตเถรคาถา คำว่า บรรพต(ภูเขา)
จำแนกเป็น 2 ประเภท คือ เขาหินล้วน เรียกว่า “เสลบรรพต”
เขาดินล้วน เรียกว่า “ปังสุบรรพต” ส่วนอรรถกถาอุโปสกขันธกะ เพิ่มประเภทที่ 3
ว่า เขาดินปนหิน ทั้ง 3 ประเภทเรียกชื่อ
ดังนี้ เขาดินล้วน เรียก “สุทธปังสุบรรพต”
เขาหินล้วน เรียก “สุทธปาสาณบรรพต” เขาดินปนหิน เรียก อุภยมิสสกะบรรพต
คำว่า
นที (แม่น้ำ) มีชื่อสามัญ 6 ชื่อ ท่านอ้างในมหาฎีกาอภิธานคันถะ
คือ สวันตี นินนคา สินธู สริตา สรภู และนที และชื่อสามัญที่เรียกปลาก็มี 6 ชื่อเช่นกัน คือ
มัจฉา(มส ธาตุ ฉ ปัจจัย สัตว์ที่ลูปคลำคือว่านน้ำ) มีนะ (มิ หรือ มร ธาตุ อีน ปัจจัย ลบ ร) ชลจร
ปุถุโลมะ อัมพุชะ และ ฌสะ
คำว่า อาศรม
ได้แก่ ที่อยู่ของพระมุนี และพระฤาษี คือ บรรณศาลา(ที่อยู่มุงด้วยใบไม้ มีคำขยายศัพท์อีกว่า
ชื่อว่า อาศรม เพราะเป็นที่ระงับโกรธ หรือ ระงับกิเลศมีราคะเป็นต้น
และในฎีกานิชตกนิทาน กล่าวว่า ที่ชื่อว่า อาศรม เพราะเป็นที่ปรับปรุงให้สม่ำเสมอ
หรือ เป็นที่ปรับกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่ไม่สุภาพให้เรียบร้อย หรือ เป็นที่พักผ่อนให้คลายเหนื่อยจากการทำกสิกรรมเป็นต้น
คำว่า ดาบส
หมายถึง ผู้ประกอบด้วยธรรมยังกิเลสให้ร้อน คำว่า อิสิ หรือ ฤาษี
ผู้ถึงฝั่งแห่งการเวียนว่ายตายเกิด อิส
ธาตุ หรือ สณ ธาตุ ใช้ในความหมายว่า แสวงหา หรือ ถึง ลง อิปัจจัย เป็น อิสิ
พระเวสสันดรผนวชเป็นดาบสประเภทใด
ในบรรดาดาบส 8 ประเภท(ระดับการประพฤติพรต)ที่กล่าวไว้ในอรรถกถาหิริสูตร
สุตตนิบาต สอบเทียบคู่กับอรรถกถาอัมพัฏฐสูตร ทีฆนิกาย สีลขนธวรรค คือ 1.
ดาบสมีบุตรภรรยา(สปุตตภริยา 2. ดาบสเที่ยวขอเลี้ยงชีพ(อุญฉจาริกา ในอรรถกถาอัมพัฏฐสูตร
เป็นอุญฉาจริยา) 3. ดาบสที่รับอาหารเลี้ยงชีพ(สัมปัตตกาลิกา
ในอรรถกถาอัมพัฏฐสูตร เป็นอนัตตปักกิกา ดาบสขอข้าวสารมาหุงต้มเอาเอง) 4. ดาบสที่ไม่ได้หุงต้มด้วยไฟ/เคี้ยวกินใบไม้ผลไม้ดิบ(อนัคคิปักกิกา
ในอรรถกถาอัมพัฏฐสูตร เป็นอสามปากา มิได้หุงต้มเองรับเฉพาะที่ปรุงสุกแล้ว)
5. ดาบสใช้ท่อนหิน หรือ ศาสตราทุบหรือลอกเปลือกไม้เคี้ยวกิน(อัสสมุฏฐิกา
ตรงกันกับอรรถกถาอัมพัฏฐสูตร) 6. ดาบสใช้ฟันกัดแทะเปลือกไม้เคี้ยวกิน(ทันตลุยยกา
ในอรรถกถาอัมพัฏฐสูตร เป็นทันตวักกลิกา ความตรงกัน) 7. ดาบสเคี้ยวกินเฉพาะผลไม้ที่สุกตามธรรมชาติ(ปวัตตผลิกา
ในอรรถกถาอัมพัฏฐสูตร เป็น ปวัตตผลโภชิโน ความตรงกัน) 8.
ดาบสเคี้ยวกินใบไม้ ที่หลุดจากขั้วหล่นลงมาที่พื้นดิน(วัณฏมุตตกา ในอรรถกถาอัมพัฏฐสูตร
เป็น ปัณฑุปลิกา ความตรงกันคือเคี้ยวกินใบไม้แห้ง)
พระสิริมังคลาจารย์จึงวินิจฉัยว่า
การดำรงชีพเป็นดาบสของพระเวสสันดร ตามนัยอรรถกถาหิริสูตร จัดเข้าได้ 2 ประเภท คือ
เป็นประเภทที่ 4 เป็น อนัคคิปักกิกา
(ดาบสที่ไม่ได้หุงต้มด้วยไฟ) และประเภทที่ 7 ปวัตตผลิกา(ดาบสเคี้ยวกินเฉพาะผลไม้ที่สุกตามธรรมชาติ
หากว่าตามนัยอรรถกถาอัมพัฏฐสูตรจัดเข้าได้ 2 ประเภท คือเป็นดาบสประเภท ปวัตตผลโภชิโน (ที่ 7) และ ปัณฑุปลิกา
ดาบสเคี้ยวกินใบไม้แห้ง ท่านบำเพ็ญพรตอย่างเพลา มิได้เคร่งครัด
5. ชูชกกัณฑปริจเฉท
พระสิริมังคลาจารย์อ้างคำพูดพระรัตนบัณฑิตว่า
พระเวสสันดรและพระนางมัทรีพร้อมพระโอรสพระธิดา บวชเป็นดาบสและอยู่ที่เขาวงกตได้ 7
เดือน ก็เป็นเวลาที่ พราหมณ์ชูชก ยาจกชาวบ้านทุนนวิฏฐะเมืองกาลิงคะ
ผู้จะไปขอสองกุมารไปถึง และท่านยังเอ่ยถึงพระอโนมทัสสีเถระว่า
ระยะทางที่พระเวสสันดรอยู่ในเขาวงกต หรือภูเขาคันธมาทน์นั้น เป็นระยะทางถึง 500 โยชน์(9,000 กิโลเมตร) ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาคำพูดนี้ให้ถี่ถ้วน
ในกัณฑ์ชูชกนี้
มีคำเยาะเย้ยที่ภริยาพราหมณ์ในหมู่บ้านกล่าวแดกดันนางอมิตตาปนา
ภริยาสาวรุ่นของชูชก ตอนที่ไปตักน้ำที่ท่าน้ำว่า ทุกข์ทางกายเพราะถูกงูขบ
เพราะถูกอาวุธทิ่มแทงก็ยังไม่เป็นทุกข์ร้ายแรง(ติพพา)เท่ากับการที่สาวแรกรุ่นได้สามีแก่ชรา
และเมื่อได้เห็นสามีผู้แก่ชรา(ตรุณิตฺถี ชิณฺณกํ ปสฺเส ปสฺเสยฺยฯ
ปสฺสนํชิณฺณปติปสฺสนํ ฯ ตญฺจ ตเทว ปสฺสนํ
ติปฺปํ ทุกฺขญฺจ ตรุณิตฺถิยา ติปฺปทุกฺขเมว โหติ)
ที่ระบุชูชกว่าเป็นชั้นวรรณะพราหมณ์นั้น
ตามหลักฐานในทสพราหมณชาดก ปกิณณกวรรค ปรากฏความว่า (ความจริง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น
พราหมณ์ โดยเป็นเพียงโวหารที่เรียกขานกัน มี 10 ประเภท
คือ 1. เวชพราหมณ์(พราหมณ์ที่ประกอบอาชีพหมอรักษา) 2. ทาสกรรมกรพราหมณ์(พราหมณ์ที่คอยบริการผู้มีอำนาจดุจข้าทาสช่วงใช้) 3. นิคคาหกพราหมณ์(พราหมณ์นักข่มขู่ ชอบถือคนโทน้ำ
ข่มขู่เอาสิ่งของจากผู้อื่นจนได้) 4.
ขาณุฆาตกพราหมณ์(พรามหณ์ที่ทำตัวสกปรกเที่ยวขอทาน)
5. วาณิชิกพราหมณ์(พราหมณ์ที่ประกอบอาชีพข้าขาย) 6. กุฏุมพิกคหปติกพราหมณ์(พราหมณ์ที่ประพฤติดังพวกกฎุมพี และพวกคหบดี) 7. โคฆาตกพราหมณ์(พราหมณ์ที่ประกอบอาชีพฆ่าสัตว์) 8.
โคปาลคามฆาตกโจรพราหมณ์(พราหมณ์ที่เหมือนคนเลี้ยงโค
และปล้นจี้ชาวบ้าน) 9. ลุทกพราหมณ์ (พราหมณ์ผู้ประกอบอาชีพเป็นพราน) และ
10. นหาปกพราหมณ์(พราหมณ์ที่อาบน้ำใต้เตียงพระราชาด้วยคิดว่าตัวลอยบาป)
เมื่อจำแนกพราหมณ์ออกเป็น 10 แบบเช่นนี้แล้ว พระสริมังคลาจารย์ก็จัดชูชกเข้าในพราหมณ์ประเภทที่ 3
นิคคาหกพราหมณ์(พราหมณ์ยอดนักข่มขู่ มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยว
ชอบถือคนโทน้ำติดตัวตลอด
อาศัยพระเวสสันดรเป็นแรงผลักจึงเดินเข้าป่าทั้งที่ตัวก็ชรามากแล้ว ตั้งใจว่าเมื่อได้สองกุมารเท่านั้นจึงจะกลับไป
พราหมณ์ชูชก
อ้างว่าตัวเป็นทูตมาเชิญพระเวสสันดรกลับบ้านเมืองกับนายพรานเจตบุตร
โดยอาจยกคนโทน้ำชูขึ้นอ้างว่า ข้างในบรรจุพระราชสาสฺน์ของราชาสัญชัย ขู่ว่าหากเจตบุตรทำร้ายแก
ใครจะไปแจ้งข่าวพระเวสสันดร เข้าทำนองพราหมณ์ยอดนักข่มขู่อย่างที่กล่าวมา
6. จูฬวนกัณฑปริจเฉท
เมื่อพรานป่าเจตบุตรหลงเชื่อ จึงได้ทำการต้อนรับท่านทูตอย่างสมเกียรติ
แถมเตรียมเสบียงทางและชี้บอกทางไปอาศรมของพระเวสสันดรอีกด้วย ในกัณฑ์จุลพนนี้
มีศัพท์ที่เกี่ยวกับพรรณไม้ไม่มากนัก (มี 45 ชนิด
ติณชาติ 2 ชนิด ธัญชาติ 5 ชนิด มี
ชื่อนก 7 ชนิด) จะขอยกมาเป็นตัวอย่างที่พระสิริมังคลาจารย์นำเสนอดังนี้
คำว่า ทุมา
แปลว่า ต้นไม้ ท่านอ้างฎีกาอภิธานว่า เป็น ทุ ธาตุ(ทุ เป็นไปในความไป หรือ
ถึง) ลง ม ปัจจัย ในหมวด ภู ธาตุ มีวิเคราะห์ว่า
ทวติ คจฺฉติ มูลขนฺธสาขาวิฏปปตฺตปุปฺผผเลหิ วุฑฺฒึ วิรุฬฺหึ เวปุลฺลํ
ปาปุณาตีติ ทุโม แปล ชื่อว่า ทุโม เพราะไป คือถึง ได้แก่ บรรลุซึ่งความเจริญงอกงามไพบูลย์
ด้วย ราก ลำต้น กิ่ง ค่าคบไม้ ใบ ดอกและผลทั้งหลาย
มีวิเคราะห์อีกบทหนึ่ง
ทุ ธาตุ(ทุ เป็นไปในความเบียดเบียน) ลง ม ปัจจัย ในหมวด กี ธาตุ
ดังคำว่า ทุนิยฺยติ เคหสมฺภาราทิอตฺถาย หึสิยติ
ฉินฺทิยติ ปณฺณปุปฺผาทิอตฺถิเกหิ วา ปณฺณปุปฺผาทิหรเณน ปิฬิยตีติ ทุโม แปล ต้นไม้ใด
อันบุคคลย่อมเบียดเบียน คือ ย่อมตัด ย่อมเด็ดเพื่อประโยชน์แก่เครื่องเรือนเป็นต้น
หรือต้นไม้ใด อันบุคคลผู้มีความต้องการใบและดอกไม้เป็นต้น พากับเบียดเบียน
โดยการนำใบและดอกเป็นต้นไป ต้นไม้นั้นชื่อว่า ทุโม
ชื่อต้นไม้ที่เป็นสมุนไพร
โดยเรียกตามคุณสมบัติทางยาที่แสดงออก เช่น อกฺโข วิภิตโก แปลว่า สมอพิเภก
ทำให้ถ่ายท้อง(กรีสผเล) หมายความว่า ต้นไม้ที่(เป็นยาถ่าย)ทำให้โรคหาย (โรคํ
วิภิตํ กโรตีติ วิภิตโก)
คำว่า อภยา หรีตกี แปลว่า สมอไทย หมายความว่า ต้นไม้ที่นำภัยคือโรคออกไป
ให้หายโรค ชื่อว่า สมอไทย ( โรคภยํ หรติ อปเนตีติ หรีตโก)
ท่านยกคำอธิบายลักษณะของ
ปู ตามการวิเคราะห์ศัพท์ ดังนี้
คำว่า มูปยานกา ได้แก่ ปู
(กกฺกฎกา) สองคำว่า กกฺกฏโก กุฬิโร ได้แก่ ปู เหมือนกัน วิเคราะห์ว่า เก
กฎตีติ กกฺกฎโก แปลว่า สัตว์ที่เดินย่ำไปน้ำ ลง ก ในอรรถว่า ของตน กฎ ธาตุ
เป็นไปในความเหยียบย่ำ
7. มหาวนกัณฑปริจเฉท กัณฑ์มหาพนนี้
มีการยกคำศัพท์ที่เกี่ยวกับพรรณไม้ นก และสิ่งอื่น ๆ ในป่าหิมพานต์มาอธิบาย พระอัจจุตฤาษีบรรยายให้ชูชกฟังว่า
ระหว่างทางที่ไปสู่อาศรมของพระเวสสันดรนั้น จะพบต้นไม้อะไรบ้าง ในป่ามีนกอะไรบ้าง มีสัตว์ป่าอะไรบ้าง
เป็นต้น เช่น ชื่อพฤกษาชาติ 63 ชนิด ชื่อสกุณชาติ 54 ชนิด ชื่อมฤคชาติ 34 ชนิด เหล่าติณณชาติ 32 ชนิด มัจฉาชาติ 7 ชนิด ธัญญชาติ 12 ปทุมชาติ 4
ชนิด ลดาชาติ 13 ชนิด กีฏชาติ 4 ชนิด ซึ่งเป็นป่าใหญ่ จึงมีสัตว์และสิ่งต่างๆมากว่าที่ปรากฏในกัณฑ์จุลพน (จะไม่นำชื่อต้นไม้มาแสดงอีก)
จะขอยกคำอธิบายเรื่องภูเขาคันธมาทน์ ที่พระเวสสันดร ตั้งอาศรมอยู่
พระสิริมังคลาจารย์
อ้างอรรถกถาสัมภวชาดก ว่า ที่ชื่อว่า คันธมาทน์ เพราะภูเขานี้
ย่ำยีคนที่มาถึงด้วยกลิ่นหอมที่เกิดจากสิ่งต่าง ๆ ในภูเขา
และจากอาศรมพระอัจจุตฤาษีไปทางทิศเหนือ พระฤาษีชี้ไปที่ภูเขานี้ เดินตามเชิงเขานี้ไปจะเป็น
อาศรมพระเวสสันดร พระสิริมังคลาจารย์ก็บอกว่า ภูเขาคันธมาทน์ มี 2
ลูก ชื่อพ้องกัน ลูกที่ 1
นี้ ตั้งอยู่ระหว่างอาศรมพระอัจจุตฤษี และเขาวงกตเชิงเขาหิมพานต์ มิได้อยู่บนยอดภูเขาหิมพานต์
ภูเขาคันธมาทน์อีกลูกหนึ่ง เป็นยอดหนึ่งของภูเขาหิมพานต์ ตั้งอยู่ระหว่างยอดภูเขา
กาฬกูธาร ที่ล้อมสระอโนดาดอยู่ และอยู่ไกลมาก จากเชิงเขาหิมพานต์ลึกเข้าไป
ตั้ง 500 โยชน์ เกินกว่าที่คนจะเดินทางไปถึงได้ ส่วนภูเขาคันธมาทน์ที่พระเวสสันดรตั้งอาศรมอยู่
ห่างจากปากทางเข้าป่า(ประตูป่า)ไปเพียง 15 โยชน์
ประมาณ 240 กิเมตร) ถึงท้องภูเขา(หุบเขา)วงกต
เป็นระยะทางที่คนสามารถเดินไปถึงได้
ดังที่ท่านวิจารณ์ความเห็นของท่านอโนมทัสสีเถระไว้ในตอนอธิบายกัณฑ์ชูชกแล้ว
มีคำอธิบายลักษณะของสัตว์
ที่ชื่อว่า เม่น (สลฺล หรือ สลฺลก)
หมายถึงสัตว์ที่เบียดเบียนสุนัขด้วยขนที่เกิดตามร่างกายของตน
ร่างกายของเม่นมีเครื่องหุ่มห่อสีขาวเเข็งเหมือนเหล็ก(อตฺตโน สรีรชาเตน โลเมน
สุนขํ สลฺลติ หึสตีติ สลฺโล, สลฺลโก จ, อยสุกสพณฺโฐ โน สลฺลกาโย)
8. กุมารกัณฑปริจเฉท ในกุมารกัณฑ์ พระสิริมังคลาจารย์ เริ่มโดยยกคำบาลีมาอธิบายมากมายเป็นพิเศษ
กินเนื้อที่หนังสือ ถึง 3 ผูก แต่ผู้เขียนจะยกมาพอเป็นตัวอย่างแสดงความเป็นผู้รอบรู้ทางไวยากรณ์และข้อมูลความรู้ของพระสิริมังคลาจารย์
ดังนี้ คำที่มีความหมายถึงผู้หญิง เพศแม่ แม้จะไม่ใช่อิตถีลิงค์ก็ตาม เช่น คำว่า
มาตุคาโม โอโรโธ และ ทาโร เป็นปุงลิงค์(เพศชาย) แต่ก็บอกความแทน อิตถี(หญิง)
ไม่ต้องเปลี่ยนลิงค์ ที่มาจากสัททนีติ และท่านวิเคราะห์คำว่า มาตุคาม
แปลว่า ผู้ที่ถึงสภาวะเจือปนด้วยแม่, ผู้มีความรักดุจความรักของแม่(มาตุยา กาโม
วิย ยสฺส สา มาตุกาโม), ผู้ไปดุจแม่(มาตา วิย คจฺฉตีติ มาตุคาโม) คม
ธาตุ หมายถึง ลง ณ ปัจจัย, ผู้กินดุจแม่(มาตา
วิย คสตีติ มาตุคาโม) คส ธาตุ หมายถึง กิน ลงม ปัจจัย), ผู้ขับร้องดุจแม่(มาตา
วิย คายตีติ มาตุคาโม) คา ธาตุ หมายถึง เสียง ม
ปัจจัย)มีที่มาจากฎีกาอภิธานคันถะ
คืนที่ชูชกนอนรอให้พระนางมัทรีออกป่า
ก่อนรุ่งอรุณ พระนางมัทรีทรงพระสุบินร้าย และแม่นยำเป็นความจริง
พระสิริมังคลาจารย์ก็อ้างอรรถกถาจตุตถปัณณาสก ในปัญจกนิบาติอังคุตตรนิกายว่า
ฝันตอนกลางวันจะไม่เป็นจริง(แม่น)
ฝันตอนปฐมยามกับมัชฌิมยามแห่งราตรีก็ไม่เป็นจริงเหมือนกัน
ส่วนความฝันที่ฝันเห็นจวนเจียนจะรุ่งสาง คือตอนย่ำรุ่งอรุณ เป็นตอนที่รสชาติอาหารเข้าไปยู่ในร่างกายที่เราได้กินได้ดื่มได้ขบเคี้ยวไปแล้ว
ย่อมเป็นจริง(แม่นยำ)ได้
เมื่อฝันเห็นนิมิตแห่งสิ่งที่น่าปรารถนาก็จะได้สิ่งที่น่าปรารถนา
แต่เมื่อฝันเมื่อฝันเห็นนิมิตแห่งสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาก็จะได้สิ่งไม่ที่น่าปรารถนา
(...พลวปจฺจูเส...ทิฏฐสุปิโน สเมติ อิฏฐนิมิตฺตํ สุปินํ ปสฺสนฺโต อิฏฐํ ลภติ
อนิฏฐนิมิตฺตํ สุปินํ ปสฺสนฺโต อนิฏฐนฺติ) สุบินนิมิตของพระนางมัทรีเป็นลางบอกเหตุร้ายว่าจะต้องพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก
บุคคลสามัญรวมไปถึงพระเสขอริยบุคคล(โสดาบัน
สกทาคามี อนาคามี) ยังนอนหลับฝัน เพราะยังละวิปัลลาสไม่ได้
ยกเว้นพระอรหันต์ท่านไม่ฝัน เพราะละวิปัลลาสได้
พระชาลีมองดูลักษณะบุรุษโทษของชูชก
เป็นต้นว่า มีจมูกคด(ภัคคนาสโก) ฟันเหยิน(กฬาโร) ท้องมานพลุ้ย(กุมฺโภทโร)
ตาเข (วิสมจกฺขุโก) ไม่อาจมองได้โดยตรง หรือ
ดวงตาไม่เท่ากันข้างหนึ่งเล็กข้างหนึ่งโต ตาข้างหนึ่งเสือกขึ้น ตาข้างหนึ่งส่อนลง
ขาเป๋เท้าแป(วิกโฏ วิกฏปาโท)
ส่อถึงคนไม่ดีนิสัยดุร้ายหยาบคาย
พระสิริมังคลาจารย์
อธิบายถึง ปัญจมหาบริจาค ซึ่งมีที่มาต่างกัน และวัตถุเครื่องบริจาคก็ต่างกัน ดังนี้
ในอรรถกถาเวสสันตรชาดก ปัญจมหาบริจาค คือ 1. ธนบริจาค(สละทรัพย์เป็นทาน)
2. อังคบริจาค(สละอวัยวะเป็นทาน) 3. ชีวิตบริจาค(สละชีวิตเป็นทาน)
4. ปุตตบริจาค(สละลูกที่รักเป็นทาน) 5. ภริยาบริจาค(สละภรรยาที่รักเป็นทาน)
ส่วนในพราหมณวรรค และฎีกาพราหมณวรรค กล่าวถึงมหาบริจาค 5 ประการชุดหนึ่ง
คือ 1. ทรัพย์อันประเสริฐ
2. บุตรและธิดา 3. ภรรยา 4.
ราชสมบัติ และ 5. อวัยวะ
(ไม่มีชีวิตบริจาค) และในอรรถกถาพุทธวงส์ ระบุปัญจมหาบริจาคอีกชุดหนึ่ง คือ 1. อวัยวะ 2. ทรัพย์ 3. ดวงตา 4. ภรรยา และ 5. ราชสมบัติ(ไม่มีบริจาคบุตร) แม้จะมีปัญจมหาบริจาคหลายชุด
พระอรรถกถาจารย์กล่าวสรุปในอรรถกถาชาดก ว่า ที่มาทั้ง 3 แหล่งอ้างอิง
ทุกชุดล้วนมีคำว่า บริจาคอวัยวะเป็นหนึ่งข้อ และมีภริยาบริจาค หรือ ทารบริจาค
อันเดียวกันอีกข้อหนึ่ง ที่ต่างกัน เพิ่มเข้ามามี
ดวงตา ก็นับเข้าในบริจาคอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย และ ราชสมบัติ
ก็นับเข้าในทรัพย์สมบัติ(ธนบริจาค)
พระสิริมังคลาจารย์ก็เห็นด้วยกับอรรถกถาเวสสันตรชาดก โดยย้ำว่า “สุนฺทรตโร”
แปลว่า ดีกว่า
ที่นับว่าเป็นมหาบริจาคมีเกณฑ์วัด
คือ 1. เพราะบริจาคด้วยสิ่งของมากมาย และด้วยการบริจาคสูงสุด 2.
การบริจาคเพื่อความยิ่งใหญ่หรือเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า(ปรารถนาโพธิญาณ)
3. เป็นการบริจาคที่ประเสริฐสุด
เพราะคนธรรมดาสามัญทำได้ยากยิ่ง
กัณฑ์กุมารนี้
เน้นการบริจาคบุตรที่รักเป็นทาน ต้องข่มความรักเสน่หาในบุตร
ข่มความโกรธด้วยขันติที่พราหมณ์ตีพระโอรสพระธิดาอย่างทารุณ ผูกแขนฉุดคร่าลากถูไปต่อหน้าต่อตาอย่างไม่เกรงใจ
หากไม่ปรารถนาพระโพธิญาณอย่างแน่แน่ว คงตัดใจยาก นี่แหละมหาบริจาค
จนเกิดแผ่นดินไหว
9. มัททีกัณฑปริจเฉท
เมื่อพระเวสสันดรบริจาคบุตร
โกลาหลเกิดขึ้นนับจากพื้นแผ่นดินไปจรดถึงอกนิฏฐพรหมโลกชั้นสูงสุด
พระสิริมังคลาจารย์ก็บอกระยะว่า เป็นระทางถึง 49,824,000 โยชน์(ปถวิตลโต ยาว อกนิฏฐพฺรหฺมโลกา จตุวีสติโยชนสหสฺสาธิเก อฏฐนวุติ
จตุสตโยชนสหสฺสเก ฐาเน เอกโกลาหลํ ชาตํ ทานเตเชน)
เมื่อพระนางมัทรีกลับมาจากป่า
ไม่พบพระโอรสธิดาวิ่งเข้าต้อนรับเหมือนอย่างเคย จึงไปทูลถามกะพระเวสสันดร
แต่พระเวสสันดรไม่ทรงตอบ แถมกล่าวหาว่าพระนางมัทรีมัวไปเล่นในป่า ลืมสามีและลูกพระนางมัทรีจึงออกตามหาลูกทั่วทั้งป่าตลอดคืน
อาศัยแสงจันทร์ส่องทาง วิ่งเที่ยวร้องเรียกตามหาตลอดราตรี ตั้งสามรอบ สิ้นระยะทาง 15
โยชน์ ประมาณ 120,000 วา
(ปณฺณรสโยชนมตฺตนฺติ ปณฺณรสโยชนปมาณํ พฺยามานํ วีสติสหสฺสลกขญฺจาตฺยาธิปาโย)
ก็ไม่พบ จึงเสด็จกลับมาทูลถามพระเวสสันดรอีก ในที่สุดพระนางมัทรีก็เป็นลมสิ้นสติ ล้มสลบลงที่พื้นดินต่อหน้าพระเวสสันดร
พระสิริมังคลาจารย์นำฎีกาอรรถกถาเวสสันตรชาดกมาขยายว่า
ข้อว่า อิติมทฺที มีความว่า พระนางมัทรีผู้ทรงโฉมงามผู้ทรงมีพระสรีระยอดเยี่ยมนั้น
เสด็จเที่ยวไป ณ โคนไม้เป็นอาทิ ไม่พบพระโอรสและพระธิดาก็ประคองพาหากันแสงว่า
ลูกทั้งสองจักสิ้นชีพแล้ว โดยไม่ต้องสงสัยแล้ว ล้มลง ณ ภูมิภาคแทบบาทมูล
ของพระเวสสันดรในสถานที่นั้นเอง เหมือนต้นกล้วยสีทองมีรากขาดแล้วล้มลง
เมื่อพระเวสสันดรทรงช้อนพระเศียรของพระนางมัทรีขึ้น
อุ้มพระนางมัทรีพาดไว้บนพระเพลา เอาน้ำมาพรม พระนางมัทรีก็ได้ฟื้นสติคืนมา
พระเวสสันดรจึงบอกความจริงว่า พระองค์ให้ทานไปแล้วแต่ไม่บอกความจริงแต่ต้น เพราะเกรงพระนางจะอดกลั้นความทุกข์
และพระทัยวายสิ้นพระชนม์เพราะการพรากจากบุตร อีกอย่างหนึ่ง พวกเรายังมีชีวิตอยู่ ต้องได้พบบุตรแน่นอน และขอให้พระนางอนุโมทนาการให้บุตรเป็นทานครั้งนี้
และพระนางมัทรีก็อนุโมทนาบุญ
พระสิริมังคลาจารย์
ให้ความเห็นเรื่องความหมายตามบริบทท้องเรื่องของคำว่า “อนุโมทหิ”
ตามที่เราเข้าใจ ก็ต้องแปลว่า เธอจงยินดีด้วย แต่ท่านแก้ว่า จงยกโทษให้ด้วย
ดังความว่า คำว่า อนุโมทาหิ พึงกล่าวแก้ว่า เธอจงยกโทษ ได้แก่
จงทำการยกโทษ จงชื่นชมด้วยอำนาจการอนุโมทนา เพราะท่านกล่าวไว้ในอรรถกถามหาหงส์ว่า
บทว่า อนุโมทามิ แปลว่า ฉันขอยกโทษให้(อนุโมทามีติ ขมามีติ
มหาหํสวณฺณนายํ วุตฺตตฺตา อนุโมทาหีติ อนุโมทนาวเสน ขมาหิ ขมนํ รุจฺจนํ กโรหีติ วตฺตพฺพํ)
พระนางมัทรี
อนุโมทนา เพราะถือธรรมเนียมว่า แม้ว่ามารดจะตั้งครรภ์คลอดบุตร เลี้ยงดูเอง
แต่บิดาถือว่าเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของบุตร แต่ไม่ใช่ว่าบิดาจะเป็นใหญ่ในบุตรทุกกรณี
พระสิริมังคลาจารย์ก็อธิบายเสริมว่า ธรรมดาที่ว่าบิดาเป็นเจ้าของลูกนั้น
เหมาะสมในเรื่องทานเท่านั้น(ทานาธิกาเรเอว ยุตฺตํ) ไม่เหมาะสมในเรื่องการบวชลูก(น
ปพฺพชฺชาธิกเร) ในพุทธบัญญัติที่ว่า ในการบรรพชาบุตรที่บิดามามารดายังไม่อนุญาต
บางคราวบิดาเป็นใหญ่(กทาจิ ปิตา อิสฺสโร) บางคราวทั้งบิดาและมารดาร่วมกันเป็นใหญ่
(กทาจิ อุโภปิ)
แต่ในการบวชลูกของทาส มารดาเท่านั้นเป็นใหญ่(ทาสปุตฺตปพฺพชฺชาธิกาเร ตุ
มาตา ว อิสฺสโร)
คำอนุโมทนาของพระนางมัทรีก็กึกก้องไปถึงพรหมโลก
ท่านอธิบายคำว่า หริหรพฺรหฺเมหิ
พฺยปฺปเทโสติ อ้างฎีกาสัคคกัณฑ์
ว่า คำว่า หริ หมายถึง พระนารายณ์ หรือ พระวาสุเทพ (หรีติ นารายโน โย
วาสุเทโวติ วุจฺจติ) หร หมาย ถึง
พระศิวะ หรือ พระอีสาน หรือ องค์อิศวร(หราติ สิโว โย
อีสาโนติปิ มหิสฺสโรติปิ วุจฺจติ) คำว่า พฺรหฺม ได้แก่ ท้าวมหาพรหม
เกิดความสงสัยว่า
แม้แต่พระยามารผู้มีใจบาปก็ยังให้การอนุโมทนาทานของพระเวสสันดร ความนี้
ดูกระไรอยู่
พระสิริมังคลาจารย์จึงถือโอกาสเฉลยว่า เทพบุตรมารตนเดียวกับพระยาวสตีมารที่ผจญพระพุทธเจ้าที่โคนต้นโพธินั่นแหละ คราวใด มารมีจิตชั่วช้า ก็ทำชั่ว คราวใดมีจิตใจดี
ก็จะทำความดี ด้วยเหตุผลที่ว่า มารเกิดบนเทวโลก(สวรรค์ชั้นสูงสุดเพราะความดี)
เหมือนพระเทวทัตต์) หากมารมีจิตใจชั่วและทำความชั่วตลอดแล้วต้องตกนรกเท่านั้น จะบังเกิดบนสรวงสรรค์ได้อย่างไร
และท่านย้ำว่า คำตอบนี้ควรยึดถือไว้ได้
และข้อความเช่นนี้ก็นำไปอธิบายในมัททีกัณฑ์ ตอนให้ภริยาเป็นทาน
และพระยามารก็ยังอนุโมทนาด้วย
มีข้อกังขาเรื่องบุคคลผู้รับทานเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์(ชูชก)
เหตุใดจึงว่า ทานของพระเวสสันดรจึงมีเป็นทานสูงสุดยอด และมีอานิสงส์มาก
จะไม่ขัดกันหรือ ที่ว่า ของที่ให้ต้องบริสุทธิ์ ผู้ให้ต้องใจบริสุทธิ์
และผู้รับ(ปฏิคาหก) ก็ต้องมีศีลบริสุทธิ์ ท่านแก้ว่า
การให้บุตรเป็นทานมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าพราหมณ์ชูชกคนทุศีล
แต่เพราะทักขิณา(โอรสธิดา)บริสุทธิ์(พระองค์มีสิทธิ์) ประการสำคัญ
ให้ทานพระปิโยรสเสมอด้วยชีวิตของพระองค์เป็นทานที่ผู้มุ่งสัพพัญญุตญาณให้ไว้
เป็นการพรรณนาคุณของผู้ให้ว่า สละชีวิตให้
10.
สักกปัพพปริจเฉท ในกัณฑ์สักกบรรพ์นี้
พระสิริมังคลาจารย์แจงว่า พระเวสสันดรพระราชทานบุตรในวันเพ็ญขึ้น 15
ค่ำ พอวันแรม 1 ค่ำ
พระอินทร์ก็แปลงเพศเป็นพราหมณ์ชรามาขอพระนางมัทรี เพื่อให้โอกาสแก่พระเวสสันดรได้บำเพ็ญบารมีสูงสุด
เพราะการให้ภริยาเป็นทานถือว่าสุดยอดของทานบารมี(ปารมีกูกนฺตีติ สพฺพาสํ ปารมีนํ กูฏํ กูฏภูตํ ภริยาทานสงฺขาตํ
ทานปารมี)
การให้ภริยาเป็นทาน
คราวนี้ไม่ต้องยกนิทานประโลมใจ ดังเปรียบพระชาลีกัณหาชินาว่าเป็นดุจนาวานำพ่อข้ามห้วงน้ำ
คือ โอฆสงสาร แต่พระนางมัทรีเข้าพระทัย และยินดี ไม่แสดงอาการขัดขืนและขัดเคือง
เรียกว่า สมัครใจเป็นทานวัตถุให้พระสวามี เมื่อท้าวสักกะ รับแล้วเสด็จไปหน่อยหนึ่ง
ก็นำพระนางมัทร๊กลับมาคืนให้ และแจ้งว่า พระองค์เป็นท้าวสักกะ ด้วยความเลื่อมใสในทานบารมีจึงจะประทานพรให้
8
ประการดังที่กล่าวมาในอรรถกถาเวสสันตรชาดก ทั้งให้ความมั่นพระทัยแก่พระเวสสันดรว่า อีกไม่นาน
พระราชบิดาจะเสด็จมารับและเชิญไปครองราชสมบัติแน่นอน
มีการแสดงชื่อกำหนดความเจริญของเพศหญิง
3
ชื่อ อ้างในฎีกานรวรรคว่า ชื่อว่า นารี พึงมีอายุ 8 ปี ชื่อว่ากัญญา พึงมีอายุ 10 ปี ชื่อว่า กุมารี
พึงมีอายุ 12 ปี (อฏฺฐวสฺสา ภเว นาริ ทสวสฺสา ตุ กญฺญา
สมฺปตฺเต ทฺวาทสวสฺเส กุมารีตฺยภิธิยเต)
ส่วนที่ปรากฏในทสวรคาถา ทาริกา อายุ 8 ปี เท่ากับ นารี
ไม่มีคำว่า กัญญา(นางสาวน้อย) ที่บอกว่า อายุ 10 ปี เอาไว้
พระสิริมังคลาจารย์นำข้อความที่เคยกล่าวไว้ในกัณฑ์ก่อนหน้านี้กลับมาอธิบายซ้ำอีก
หลายหน้า เช่น ชื่อพระอินทร์ พระยายมราช ท้าวกุเวรหรือท้าวเสสุวรรณ พระยามาร
เห็นว่าจะซ้ำซ้อนจึงไม่ขอนำมากล่าวอีก
11. มหาราชปัพพปริจเฉท
อรรถกถาเวสสันตรชาดก
เรียกพระเวสสันดรว่า พระโพธิสัตว์ บ้าง พระมหาสัตว์บ้าง
แต่ไม่ได้วิเคราะห์ศัพท์ พระสิริมังคลาจารย์จึงนำมาแจงความตามอรรถกถามหาปทานสูตร
ดังนี้ โพธิสตฺโตติ ปณฺฑิตสตฺโต
พุชฺฌนกสตฺโต โพธิสงฺขาเตสุ วา จตูสุ มคฺเคสุ สตฺโต มคฺคมานโสติ โพธิสตฺโตติ
วุตฺตํ (แปล สัตว์ผู้เป็นบัณฑิต คือสัตว์ผู้จะตรัสรู้ ชื่อว่า โพธิสัตว์
อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ใดเกี่ยว คือ มีใจข้องในมรรคทั้ง 4
กล่าวคือ ญาณเครื่องตรัสรู้(โพธิ) เพราะฉะนั้น สัตว์นั้นจึงชื่อว่า
พระโพธิสัตว์)และท่านได้แสดงที่มาของศัพท์เต็มๆ
ว่า โพธิมา สตฺโต เท่ากับ โพธิสตฺโต เพราะลบคำท้าย (มา)ของบทแรกออกไป
ตามความเห็นของอาจารย์บางพวกว่า
บทว่า ชูชโกปิ ความว่า ส่วนพราหมณ์ชูชกเดินทางได้วันละ 4
โยชน์(เท่ากันทุกวัน) พระสิริมังคลาจารย์กลับเห็นว่า จะเดินทางวันละ
4 โยชน์ หรือเป็นอย่างอื่นจากนี้ ไม่เป็นประมาณ เอาเป็นว่า ชูชกเดินทางใช้เวลา 15 วันก็ลุถึงนครเชตุดร(ทิวเส
ทิวเส จตุโยชนํ จตุโยชนํ ปฏิปชฺชติ เอวํ วา คจฺฉนฺโต โหตุ อญฺญถา วา อปฺปมาณํ...ปณฺณรสทิวเส
หิ เชตุตฺตรํ ปาปุณาติ ตถา ปฏิปชฺชตีติ
ทฏฺฐพฺโพ)
พระเจ้าสัญชัยทรงพระสุบินนิมิตที่ดี
ในเวลาย่ำรุ่งของวันที่ชูชกพาสองกุมารไปถึงว่า “มีชายผิวดำนำดอกบัว 2
ดอกมาถวาย” พระสิริมังคลาจารย์ก็ยกสาเหตุแห่งความฝัน 4 ประการมาเล่าซ้ำอีกพร้อมกับคำขยายความโดยนำเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับความฝันที่เล่าในกุมารปัพพะทั้งหมดมา
ดังนี้ บุคคลเมื่อจะฝัน ย่อมฝันด้วยเหตุ 4 ประการ คือ ธาตุกฺโขภโต
โดยธาตุกำเริบ อนุภูตปุพฺพโต โดยอารมณ์(เรื่องราวเก่าๆ)ที่เคยเสวยมาก่อน เทวโตปสํหารโต
โดยเทวดาอุปสังหรณ์ ปุพฺพนิมิตฺตโต โดยนิมิตที่เคยเห็นมาก่อน(นิมิตบอกลางล่วงหน้า)
พระเจ้าสัญชัยได้พระนัดดา(หลาน)คืนมา
โดยการจ่ายพระราชทรัพย์ไถ่ค่าตัวพระนัดดาทั้งสอง จาความเป็นทาสของพราหมณ์ชูชก
พระสิริมังคลาจารย์ก็อธิบาย ประเภทของทาส ตามนัยอรรถกถามหาวรรค ในพระวินัยว่า ทาสมี 4
จำพวก คือ อนฺโต ชาโต
ทาสเรือนเบี้ย(ทาสครอก) ธนกฺกีโต ทาสสินไถ่(ซื้อมา) กรมรานีโต
ทาสที่ยอมตัวเป็นข้าเฝ้า(ทาสเชลย) สามํ
ทาสพฺยํ อุปคโต ยอมตนเป็นทาสรับใช้
กุมารสองพี่น้องนับว่าเป็นเพราะการยอมมอบตนเองเป็นทาส เจ้านายจะขายหรือฆ่าก็ได้
ชูชกได้รับการเลี้ยงดูด้วยอาหารดีๆ
แต่ไม่อาจย่อยอาหารได้ ท่านยกคำศัพท์ว่า ชีราเปตุนฺติ ปาจคฺคินา อาหารสฺส ชรํ
วิลยํ ปาเปตุ (น สกฺโกติ) โดยเทียบคำอธิบายในอรรถกถากูฏวาณิชชาดก ว่า
“ยาวทตฺตํ สุโภชนํ ภุญชิตฺวา อชิรเกน มริสฺสติ”
(ตราบเท่าพราหมณ์ชูชกบริโภคโภชนะดีๆ ซึ่งพระราชทานให้
ทำกาลกิริยาด้วยอาหารที่ไม่ย่อย) ความหมายว่า ตาย ในภาษาบาลี
คือ กาล(กิริยา) ท่านวิเคราะห์ความหมายดังนี้ บทว่า กาโล หมายความว่า เป็นเครื่องให้ชีวิตเสื่อมไป
คือให้ชีวิตสัตว์ทั้งหลายพินาสไปแห่งมฤตยู(มจฺจุ กาลยติ สตฺตานํ ชีวิตฺตํ
นาเสติ) เมื่อตายก็ทำสรีรกิจ คือการเผาซากศพ(กเฬวรทหนกมฺมํ) แก่ชูชก
ครั้นชูชกตายลง
สมบัติที่ได้รับพระราชทานเป็นค่าไถ่พระนัดดาทั้งสอง ต้องหาทายาทมารับ ตามธรรมเนียม
พระเจ้าสัญชัยให้เสนาตีกลองประกาศหาญาติของชูชก ตลอด 7
วัน ก็ไม่พบใคร(อปสฺสิตฺวา)ที่อ้างตัวประกาศเป็นญาติ
สมบัติจึงตกเป็นของหลวงคืนท้องพระคลังไป
การกล่าวถึงเครื่องบูชาที่ว่ามีข้าวตอกเป็นที่
5
(ลาชปัญจมัง) ที่พระเจ้าสัญชัยให้เตรียมการต้อนรับพระเวสสันดร
พระสิริมังคลาจารย์ก็ยกมาอธิบายจากฎีกาชาดกนิทานว่า มีวัสดุอะไรบ้าง ดังคำว่า ลาชปญจมานิ
ปุปฺผานิ ได้แก่ ดอกไม้ 5 ชนิดมีข้าวตอกเป็นที่ 5 คือ 1. ทุพฺพติณ(ทุพฺพปุปฺผํ) หญ้าแพรก 2. สุทฺธตณฺฑุโล(ตณฺฑุโล) ข้าวสารบริสุทธิ์
3.สิทฺธตฺโถ เมล็ดพันธุ์ผักกาด 4. สุมนกุลํ มะลิตูม 5. ลาชา
ข้าวตอก อีกมติหนึ่ง ไม่มีข้าวสาร
แต่เอาดอกพุดซ้อนตูม(นนฺทิยาวตฺตมกุลํ) มาแทน
นอกจากนี้
ท่านยังได้ยกคำที่เกี่ยวกับเครื่องดนตรี เครื่องประโคม ดุริยางค์ การจัดกองทัพ จำนวนอักโขภินี
เท่ากับจำนวนนับอย่างสูง สิริมังคลาจารย์ยกข้อมูลความเห็นเรื่องจำนวน อักโขภินี
จากที่อื่นๆมาไว้ให้พิจารณาดังนี้ บางท่านว่า เท่ากับ เลข 1 ตามด้วย เลขศูนย์ 17 ตัว บางท่านว่า เลข 1 ตามด้วย เลขศูนย์ 42 ตัว อาจารย์จตุรังคพลว่า
เท่ากับ เลข 1 ตามด้วย เลขศูนย์ 47 ตัว พระมหากัจจายนะผู้กล่าวสูตรว่า
คือ 1 ล้าน
คูณด้วย 10 อธิบายว่า
10 ล้าน(นินฺนหุตสตสหสฺสานํ สตํ)
โดยเทียบว่า มีไม้ไผ่ 60 มัดๆละ 60 ลำ ปูวางไว้ กองทัพเดินย่ำผ่านไป
ไม้ไผ่เหล่านั้นแหลกเป็นผุยผง นั่นคือจำนวนพล
ในกองทัพ(มากเหลือคณานับได้) แสดงถึงการยกพลไปรับอย่างมโหฬารสมเกียรติพระโอรส
12. ฉักขัตติยปริจเฉท ด้วยกองทัพกำลังมหึมาเช่นนี้
ไปถึงบริเวณภูเขาวงกต พระเวสสันดรจึงตระหนกพระทัย คิดว่า ข้าศึกจะมาจับพระองค์จึงเสด็จหนีขึ้นไปยอดเขา
จนพระนางมัทรีพินิจดูอย่างแน่ชัดแล้วก็ทราบว่าเป็นกองทัพชาวสีพีนั่นเอง จึงลงมารอถ้าที่อาศรม
เมื่อกษัตริย์ ทั้ง 6 พระองค์มาพบกันที่อาศรมเขาวงกต พระเจ้าสัญชัยเสด็จเข้าไปก่อน
สวมกอดพระเวสสันดร จุมพิตที่ศีรษะ พระนางมัทรีถวายบังคม พระเจ้าสัญชัยทรงไต่ถามการเป็นอยู่
พระเวสสันดรก็ทูลว่า พระองคต์ทรงอยู่อย่างลำบาก (กสิร) และทูลถามถึงสองกุมารพระปิยบุตรที่พราหมณ์ชูชกนำไป
ขอโปรดแจ้งข่าวให้ทราบด้วย ตอนนี้พระองค์เหมือนคนถูกงูขบกัด ข่าวที่พระบิดาตรัสบอกจะเป็นดุจเหมือนยาแก้พิษงู
พระสิริมังคลาจารย์ก็จำแนกพิษร้ายของงู
ออกเป็น 4
ชนิด และอาการที่งูทำร้ายออกเป็น 4 ลักษณะ
ดังนี้ คือ กฏฐมุโข งูปากไม้(กัดแล้วร่างแข็งเหมือนท่อนไม้) ปูติมุโข งูปากเปื่อย(กัดแล้วแผลเปื่อยเน่า)
อคฺคิมุโข งูปากไฟ(กัดแล้วแผลลุกลามปวดแสบร้อนเหมอนไฟไหม้) สตฺถมุโข งูปากศาสตราเหมือน(กัดแล้วอวัยวะขาดเหมือนสายฟ้าฟาด)
ลักษณะการทำร้าย คือ ถูกกัด ถูกแสง เพียงสัมผัส และถูกลมพ่นใส่
ส่วนพระนางผุสดีเข้าไปหาเป็นคนที่
2
พระเวสสันดรและพระนางมัทรีถวายบังคมสรวมกอดกันและกัน กับทั้งทรงกันแสง
ขณะนั้น พระชาลีและพระกัณหาชินเสด็จเข้ามา แลเห็นพระนางมัทรีก็ร้องเรียก แม่
และวิ่งเข้าหา พระนางมัทรีเองพอเห็นลูกรักก็ทรงลืมสติ พระวรกายสั่นเทิ้ม
ลุกขึ้นวิ่งออกไปหาดุจหญิงแม่มดถูกนางยักษ์เข้าสิง(วาริณีว) เพื่อรับพระโอรสธิดาที่พรากจากไป
ไม่คิดว่าจะได้เห็นหน้า เมื่อแม่ลูกต่างกันแสงจะวิ่งเข้าสรวมกอดกัน (กนฺทนฺตามธาวึสูติ
กนฺทนฺตา อภิธาวึสุ) ทั้งความโศกและความดีใจอันสุดที่จะกลั้น ทั้งสามพระองค์ต่างเป็นลมล้มสลบลงตรงนั้น(วิสญฺญิโน
หุตฺวา ตตฺเถว ปตึสุ) พระเวสสันดร
รวมทั้งพระเจ้าสัญชัยและพระนางผุสดีก็กลั้นความสะเทือนใจเอาไว้ไม่ได้ก็สิ้นสติสลบลง
แถมหมู่เสนาสหชาติที่เกิดพร้อมกันหกหมื่นคนที่ไปด้วยต่างสิ้นสติล้มสลบลงไป
ไม่มีใครช่วยใครเอาน้ำมาพรม พระอินทร์จึงบันดาลฝนโบกขรพัสส์ประพรมให้ทุกคนฟื้นขึ้นมา(สพฺเพ
สญฺญํ ปฏิลภึสุ)
พระสิริมังคลาจารย์ยกเหตุที่แผ่นดินไหว(ปถวีกมฺโป)
พร้อมคำอธิบายมาแสดงไว้ในเวสสันตรทีปนี และสรุปสาเหตุเอาไว้ คือ
ในอรรถถกถาพรหมชาลสูตร กล่าวว่า แผ่นดินไหวเพราะเหตุ 8
ประการ คือ 1. ธาตุโกเปน เพราะธาตุกำเริบ 2. อิทฺธานุภาเวน เพราะอานุภาพของผู้มีฤทธิ์ 3. คพฺโกนฺติยา เพราะการลงสู่ครรภ์มารดา 4. มาตุกุจฺฉิโตนิกฺขมเนน เพราะประสูติจากครรภ์ 5. สมฺโพธิปฺปตฺติยา เพราะการบรรลุโพธิญาณ 6. ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเนน เพราะการแสดงธรรมจักร 7. อายุสงฺขาโรสฺสชเนน เพราะการปลงอายุสังขาร 8. ปรินิพฺพาเนน เพราะการเสด็จปรินิพพาน(เหตุ 6 เรื่องหลังเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์)
ในแผ่นดินไหวทั้ง
8
ครั้ง จัดกลุ่มได้ คือ ครั้งที่ 1 เพราะธาตุ(ลม)กำเริบ(ลมอุกเขปกวาต
พัดน้ำ แผ่นดินลอยบนน้ำ) ครั้งที่ 2
เพราะอานุภาพของผู้มีฤทธิ์ (ฤทธิ์เกิดจากฌาน,
ฤทธิ์เกิดจากวิบากของกรรม) ครั้งที่ 3 และ 4 เพราะเดชแห่งบุญ(ปุญฺญเตเชน)
คำว่า อานุภาพ คือ เดชแห่งรัศมี(ปภาเตช) มีบุญเดช หรือ บุญญานุภาพ)
ครั้งที่ 5 พระเดชแห่งญาณ(ญาณเตเชน) ปฏิเวธญาณ ครั้งที่ 6 เพราะอำนาจการให้สาธุการ
(สาธุการานุภาเวน)
เทวตาฟังธรรมจักร พระโกญฑัญญะบรรลุโสดาบัน ให้สาธุการปฐมเทศนา ครั้งที่ 7
เพราะความสงสาร(การุญฺญภาเวน) เมื่อพระพุทธเจ้าประกาศปลงพระชนมาอายุสังขาร ครั้งที่ 8 เพราะการร้องไห้ระงม(อาโรทเนน) เมื่อสูญเสียบุคคลสำคัญประดุจดวงตาของโลก
จึงร้องไห้ระงม
พระสิริมังคลาจารย์
ให้ข้อมูลว่า ยังมีแผ่นดินไหวที่นับเป็นกรณีพิเศษ นอกจากสาเหตุแผ่นดินไหว 8
ประการที่กล่าวมา เช่น ในเวสสันดรชาดก แผ่นดินไหวนอกฤดูกาล(8
สาเหตุ) ถึง 7 ครั้ง(สตฺตกฺขตฺตุ อกมฺปถ)
คือ เพราะบำเพ็ญมหาบริจาค, ในโคตมสูตร แผ่นดินไหว ตอนที่พระพุทธเจ้าชักผ้าบังสุกุลจากซากศพ
และซักผ้า ในพรหมชาลสูตร แผ่นดินไหวตอนที่พระพุทธเจ้าวิเคราะห์ทิฏฐิ 62 ออกเป็นกลุ่มๆ หลังพุทธกาล แผ่นดินไหว 3 ครั้ง คือ เมื่อพระมหินทะไปลังกา
แสดงธรรมที่ป่าชาติวัน, เมื่อพระปิณฑปาติยะ วัดกัลยาญิยวิหาร ปัดกวาดลานเจดีย์
ยึดพุทธานุสติ เกิดปีติ สวดพรหมชาลสูตร,
และเมื่อพระทีฆภาณกาจารย์(ผู้ทรงจำพระสูตรทีฆนิกาย)สาธยาย พรหมชาลสูตร แล้วสรุปว่า
แผ่นดินไหวทั้ง 3 ครั้งนี้เกิด เพราะธรรมเดชานุภาพ
มีคำถามว่า
เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงแสดงสาเหตุแผ่นดินไหวเอาไว้เพียง 8
ประการ แต่พอเมื่อเล่าถึงอดีตชาดก บางเรื่องกลับมีแผ่นไหวนอกจากสาเหตุ
8 ประการ มีความเป็นมาอย่างไร พระสิริมังคลาจารย์แก้ข้อสงสัยว่า
สาเหตุ 8 ประการนั้น นับเป็นสาเหตุหลัก และเกิดขึ้นแน่นอน
ส่วนแผ่นดินไหวเพราะสาเหตุอื่นนอกจากนี้ เป็นเรื่องไม่แน่นอน บางคราวก็ไหว
บางคราวก็ไม่ไหว จึงถือว่าเป็นสาเหตุพิเศษ
13. นครกัณฑปริจเฉท
พระเจ้าสัญชัย และชาวเมืองทูลเชิญพระเวสสันดรให้สึกจากเพศฤาษี
กลับไปครองราชย์สมบัติตามเดิม พระเวสสันดรก็ทรงพ้อว่า “เมื่อก่อนนี้ พวกท่านไล่เราผู้ไม่มีความผิดให้มาอยู่เขาวงกต
แต่บัดนี้มาอ้อนวอนให้กลับไปครองราชย์สมบัติ”
พระเจ้าสัญชัยก็ตรัสว่า “พ่อก็เป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้
การคุ้ยเรื่องเก่าขึ้นมาก็มีแต่เสียดแทงหัวใจ เรื่องมันแล้วไปแล้ว ขอให้บุตร(พระเวสสันดร)
จงเปลื้องความทุกข์นี้ ออกจากอกพ่อด้วยเถิด (ทุกฺขํ อุทพฺพเห)”
พระสิริมังคลาจารย์ ได้นำเรื่องบุตร 4 ประเภทที่เคยกล่าวแล้วมาอธิบายอีก
โดยชั้นของบุตรเป็น 3 ระดับ คือ 1. อติชาตบุตร(บุตรมีคุณธรรมมากกว่าบิดามารดา)
2. อนุชาตบุตร
(บุตรมีคุณธรรมเสมอกับบิดามารดา) และ 3. อวชาตบุตร(บุตรเป็นผู้ทุศีล ปราศจากธรรม เหมือนบิดามารดาที่ทุศีล ไร้คุณธรรม) พระเวสสันดรซึ่งเป็นผู้มีศีลต้องประพฤติตามคำพระเจ้าสัญชัยผู้มีศีลทรงธรรมจัดว่าเป็น
อนุชาตบุตร และเป็นอัตรชบุตร(สีลวา กลฺยาณธมฺโม เวสสนฺตโร ราชา ตถา ธมฺเม ฐิโต
มหาราชา(สญฺชยราชา)
พระสิริมังคลาจารย์นับเวลาการอยู่ในเขาวงกตจนถึงวันที่สึกจากเพศฤาษี
ได้ทั้งหมด 9 เดือนครึ่ง ดังนี้
นับจากวันที่บวชเป็นฤาษีจนถึงวันที่พระราชทานพระโอรสพระธิดา เป็นเวลา 7
เดือน จากวันที่พระราชทานพระโอรสธิดาไปถึงวันไถ่คืน เป็นเวลา 15
วัน จากวันไถ่คืนถึงวันที่สึกเป็นเวลาประมาณ
2 เดือน (1 เดือน กับ 23 วัน)
ในเวสสันตรทีปนี พระสิริมังคลาจารย์ได้เล่าขั้นตอน พระราชพิธีบรมราชาภิเษกทูลอัญเชิญพระเวสสันดรขึ้นครองราชย์เอาไว้อย่างละเอียด
ตามความปรากฏในหน้า 438-9 (ผู้ประสงค์รายละเอียดพึงค้นคว้าจากที่อ้างไว้)
เป็นพิธีบรมราชาภิเษกพระเวสสันดรขึ้นเป็นราชาผู้ปกครองที่กลางป่าหิมพานต์นั้นเอง
ในส่วนของพระนางมัทรี ก็ต้องแต่งพระองค์ให้ครบเครื่องอย่างนางกษัตริย์ผู้จะเป็นราชินีคู่บัลลังก์
พระสิริมังคลาจารย์จึงใช้เนื้อที่อธิบายเครื่องประดับของพระนางมัทรี ด้วยเครื่องอาภรณ์
และภูษาทรงหลากหลาย(สพฺพาภรณภูสิตา) ให้สวยงามที่สุด(อโสภถ, อโสภิตฺถ)
นับแต่ ภูษา ก็เป็นผ้าเนื้อดีที่นำมาจากกาสีรัฐ (ผ้าโกเสยยะ
ผ้าที่ทอและสอดด้วยดิ้นทอง) โขมรัฐ และโกฏุมพรรัฐ และผ้าโกฏุมพร(โกทุมพร) คือผ้าขนสัตว์
ที่ตัดเอามาจากขนสัตว์มาทำให้อ่อนนุ่มละเอียด
ส่วนเครื่องอาภรณ์เครื่องประดับ
ก็ประดับทั่วร่างกาย มีเครื่องประดับคอ(กายุรํ) เครื่องประดับต้นแขน
เครื่องประดับเอวทำด้วยแก้วมณี (องฺคทาภรณญฺจ มณิมยํ เมขลญฺจ) ผู้เขียนคิดว่า
คงเป็นเครื่องเพชร เครื่องประดับหน้า (มุขผุลฺล) เครื่องประดับถัน(อุคฺคตฺถน)
เครื่องประดับไหล่(คิงฺคมกํ)เครื่องประดับเท้า (ปาทปสาธนํ) เรียกว่า
แต่งให้งามทั้งตัว
ได้เห็นพ่อแม่ให้พรลูก
เมื่อพระชาลีและพระกัณหาชินามากราบเฝ้า พระเวสสันดรและพระนางมัทรีได้ให้พรว่า “ด้วยอำนาจบุญที่เกิดจากแม่และพ่อ
ขอให้บุญนั้นจงอภิบาลลูกด้วยเถิด(มาตาปิตูนํ สนฺตกํ ปุญญํ ตํ ปาเลตุ)”
เมื่อการเตรียมทางราชมรรคาเพื่อการต้อนรับการเสด็จนิวัติจากเขาวงกตจนถึงพระนครสีพี
เรียงรายเต็มไปด้วยเครื่องอลังการอันวิจิตรมีต้นกล้วย หม้อน้ำเต็ม ธงชัย และธงแผ่นผ้า เป็นต้น และเครื่องสักการะบูชาที่เรียกว่า ข้าวตอกดอกไม้(ลาชปญฺจมานิ
ปุปฺผานิ) ทุกคนก็เคลื่อนพลทัพ โดยพระเวสสันดรทรงช้างปัจจัยนาค พระนางมัทรีทรงช้างรุ่น
กลับสู่นคร เดินทางวันละโยชน์ ใช้เวลาในการเสด็จกลับ 2 เดือน
รวมเวลาในการถูกเนรเทศ
อยู่เขาวงกตจนได้กลับคืนสู่นครสีพี ประมาณ 1 ปี นั้นคือ นับแต่ออกจากนครไปถึงอาศรมเขาวงกต ระยะทาง 60
โยชน์ เทวดาย่นทางให้ 30 โยชน์ถึงเจตราช) 1 วัน ที่เหลือ อีก 30 โยชน์ ไม่ระบุชัด
ว่าเดินทางวันละเท่าใดแต่บอกว่าพักระหว่างทาง 1 ราตรี
หากเทียบชูชกกับสองกุมารกลับ เดินทางวันละ 4 โยชน์ จะใช้เวลา 7 วัน 7 เดือนที่อยู่ก่อนชูชกมาขอ
15 วันชูชกพากลับไปเชตุดร เดือนครึ่งพระบิดาเดินทางมารับ
(ตรงนี้พระเวสสันดรว่าท่านอยู่ได้ 9 เดือนครึ่ง) พระบิดาพักอยู่ในป่าด้วย
1 เดือน และเดินทางกลับจากเขาวงกต 2 เดือน)
พระเวสสันดรครั้นขึ้นครองราชย์สมบัติ
ปรารถนาจะทำมหาทานในวันรุ่งขึ้น ห่าฝนแก้วเจ็ดประการก็ตกลงมาตลอด 7 วัน 7 คืน ฝนแก้วตกลงไปที่บริเวณบ้านเรือนของผู้ใด
ก็ทรงพระราชทานให้แก่ผู้เป็นเจ้าของสถานที่ ส่วนฝนแก้วตกลงในพื้นที่ที่เหลือ ให้พนักงานขนเข้าสู่ท้องพระคลังหลวง
พระเวสสันดรทำบริจาคทานตลอดพระชนม์ชีพ สิ้นอายุขัยก็ไปอุบัติเป็นเทพบุตรนามว่า เสตเกตุ
ในสวรรค์ชั้นดุสิต มีอายุขัยได้ 6 ล้านโกฏิ 57 ปี
พระสิริมังคลาจารย์ให้ข้อสังเกตว่า
เวสสันดรเทศนาดูจะเน้นการให้ทานเป็นหลักก็จริงแต่
หากดูการแสดงออกของพระเวสสันดรในเรื่องต่างๆแล้ว พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญบารมีได้ครบทั้ง
10 ทัศ ดังนี้ 1. ทานบารมี(ตลอดเรื่อง) 2. การสละราชสมบัติออกบวช
เป็นเนกขัมบารมี 3. การรักษาศีลแบบฤาษี
ไม่แตะเนื้อต้องตัวนางมัทรี 7 เดือน เป็นศีลบารมี 4.
ความอุตสาหะในทานเป็นวิรยบารมี 5. ความอดทนอดกลั้น เป็นขันติบารมี 6. การให้ทานตามคำปฏิญญา
เป็นสัจจบารมี 7. การไม่หวั่นไหวมั่นคงในการให้ทาน เป็นอธิษฐานบารมี 8. ความเป็นผู้มีอัธยาศัยเกื้อกูลในสรรพสัตว์ เป็นเมตตาบารมี 9.
การงางใจเป็นกลางในการเปลี่ยนแปลงสังขารของสรรพสัตว์ เป็นอุเบกขาบารมี 10.
ความฉลาดในอุบาย(ความเจริญ)ในทาน เป็นปัญญาบารมี
การประชุมชาดก(ชาตกสโมธาน)
เป็นมติของพระชาตกภาณกาจารย์ ดังที่กล่าวแล้ว แต่มีข้อที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า
พระนางกัณหาชินา มิได้ปรารถนามาเกิดเป็นพระราชบุตรีของพระสิทธัตถะอีก เพราะน้อยพระทัยที่พระเวสสันดรไม่รักลูก
ไม่พยายามปกป้องอะไรเลย นั่งดูตาปริบ ๆ
ปล่อยให้ชูชกคร่าทุบตีต่อหน้าต่อตาอย่างไม่ปรานีปราศรัย จึงไปเกิดเป็นพระนางอุบลวรรณาธิดาเศรษฐีแทน
ความข้อนี้ ขอให้ข้อสันนิษฐานหยาบ ๆ ว่า ในเมื่อ พระสิทธัตถะออกผนวชในวันที่พระราหุลประสูติ
และพระราหุลเป็นพระราชโอรสองค์แรก เมื่อบิดาออกผนวชไปจึงเป็นอันหมดโอกาสที่จะมีพระโอรส
หรือ พระธิดาองค์อื่น ๆ มาเกิดอีก
เมื่อจบการอธิบายขยายความเวสสันตรชาดกแล้ว
ตอนสุดท้ายพระสิริมังคลจารย์ก็แต่งคำลงท้าย(นิคมกถา) ที่ตั้งความปรารถนาเอาไว้ จึงขอยกคำปรารถนาของท่านมาแสดง
ดังนี้
อรหนฺตุ
อุตฺตมํ ผลํ อรหตฺตนฺติ สญฺญิตํ
ลงฺกตํ
สพฺพคุณหิ ลเภยฺยํ ภวอนฺติเม
ยทหฺยริยเมตฺเตยฺโย อุปฺปนฺโน
โลกนายโก
ตสฺส
ธมฺมํ สุณิตฺวาน คจฺเฉยฺยํ ปรมํ ผลํ
ตทาหํ
ลงฺกโต สิยํ คุเณหิ สกเลหิปิ
(ในชาติสุดท้าย ขอให้ข้าพเจ้าได้บรรลุเป็นอรหันต์
ที่เป็นอุดมผล ประกอบด้วยคุณทุกอย่าง ถ้าพระศรีอาริยเมตไตรย มาตรัสรู้เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์เมื่อใด
ขอให้ข้าพเจ้าได้สดับพระธรรมเทศนาของพระองค์และได้บรรลุผลสูงสุดอันประกอบด้วยคุณทั้งมวลเทอญ)
4.
เวสสันตรชาดก นัยสำคัญต่อวิถีสังคมและวัฒนธรรมล้านนา
ชาวล้านนามีความผูกอันแนบแน่นอยู่กับพระพุทธศาสนา
วิถีล้านนาเป็นวิถีพุทธ แม้จะมีความเชื่อเรื่องผี และไสยศาสตร์ปนอยู่ก็ตาม
แต่ความเด่นอยู่ที่วัฒนธรรมและประเพณีทางพระพุทธศาสนา มหาเวสสันดรชาดก
สอนในเรื่องการให้ทาน การบริจาค ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผลจากการซึมซับรูปแบบของคนดีน้ำใจงามจากพระเวสสันดร
หล่อลอมให้ชาวล้านนานับแต่โบราณกาลจวบปัจจุบันมีอัธยาศัยงดงาม โอบอ้อมอารี
อ่อนโยน อ่อนหวาน มีไมตรีจิตกับทุกคน
เป็นที่ประทับจิตติดในความทรงจำของผู้ที่ได้มาสัมผัสกับชาวล้านนา หลงมนตร์เสน่ห์แห่งวิถีล้านนาวิถีพุทธยากที่จะลืมเลือนไปได้
4.1
ประเพณีตั้งธัมม์หลวง
ประเพณี 12
เดือน ของชาวล้านนา ที่สัมพันธ์กับเวสสันดรชาดก ก็คือประเพณี
ยี่เป็ง (เดือน 12 ภาคกลาง) นอกจากจะลอยกระทง ล่องสำเภา
ตามประทีป ปล่อยโคมไฟแล้ว ในเดือนนี้
หลายวัด หลายชุมชน จะประกอบพิธีฟังเทศน์ เรื่องพระเวสสันดร ที่เรียกว่า “ตั้งธัมม์หลวง”
หมายถึงการฟังพระธรรมเทศนาเรื่องใหญ่หรือเรื่องสำคัญ
เพราะธัมม์หลวงที่ใช้เทศน์มักจะเป็นเวสสันดรชาดก อันเป็นพระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนจะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
4.2 อานิสงส์ของการฟังเทศน์เวสสันตรชาดก
ชาวล้านนามีความเชื่อกันว่า
หากได้ฟังเทศน์มหาชาติครบ13 กัณฑ์ ด้วยบุญผลานิสงส์ จะไปเกิดในยุคพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคต
ที่มีความสุขดุจสรวงสรรค์ ไม่ต้องประกอบอาชีพทำมาหากินให้ลำบาก ในคัมภีร์มาลัยสูตรว่า
เมื่อครั้งพระมาลัยขึ้นไปนมัสการพระเกศแก้วจุฬามณีในสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์นั้น ได้พบพระอริยเมตไตรยเทพบุตร
ท่านก็ได้บอกพระมาลัยว่า “ให้คนทั้งหลายฟังธรรมมหาชาติจบทั้ง
13 กัณฑ์ในวันเดียวคืนเดียว แล้วจะได้ร่วมกับศาสนาของเรา”
เมื่อพระมาลัยกลับจากสวรรค์แล้ว
ก็นำเรื่องนี้มาบอก คนทั้งหลายได้ฟังก็เลยพากันฟังเทศน์มหาชาติจน ถือเป็นประเพณีสืบมา
ในหนังสือมหาชาติภาคพายัพ
สำนวนฉบับสร้อยสังกร เรียบเรียงโดย พระอุบาลีคุณูปมาจารย์(ฟู อตฺตสิโว)
อดีตเจ้าอวาสวัดพระสิงห์ เชียงใหม่ กล่าวไว้ในอานิสงส์มหาเวสสันดรชาดกว่า “ปูชา
ปาเก เตชยนฺติ ทุคฺคติ เตน ปุญฺญสฺส ปาเก ความว่า
คนทั้งหลายฝูงใดได้บูชามหาเวสสันดรชาดก ผู้นั้นก็จักได้เป็นท้าวพระยาในเมืองคน
ยศบริวารบ่จนมีมาก ช้างม้าหากเนืองนัน มีกองนันทเภรีเก้าพันลูก
เพี๊ยะพิณผูกเก้าพันเสียง สัททะสำเนียงชมชื่น สนุกต้องตืนทุกรวายตรีทิวา ทาสีทาสามีมากพร้อม
อยู่แวดล้อมปรนนิบัติ ทิพยสมบัติล้ำเลิศ ก็กลับเกิดมาตาม เล้มเงินเล้มคำแลเสื้อผ้า
ทั้งช้างม้าแลข้าวเปลือกข้าวสาร จักมีตามคำปรารถนาทุกเมื่อ จำเริญเชื่อมงคล ยทา
ในกาละเมื่อใด พระศรีอาริยเมตไตย มาตรัสผญาปัญญา เป็นพระภายหน้า
บุญแก่กล้าก็จักได้หันหน้าท่านบ่สงสัย เหตุได้เป็นปาเถยยะ กันธรรมะเวสสันตรชาดก
อันยกมีมาที่นี้แล้ว ก็จักเถิงซึ่งเวียงแก้วยอดมหาเนรพาน แลนา”
4.3 ธรรมเวสสันตรชาดกล้านนา
มีหลายสำนวน สื่อถึงความนิยมฟัง ด้วยเหตุที่เทศน์มหาชาติเป็นที่นิยมมากนับแต่อดีต
จึงมีนักปราชญ์ล้านนา แต่งธัมม์(เรียบเรียงด้วยสำนวนล้านนา) มีจำนวนประมาณ
237 สำนวน จำแนกนับตามฉบับเท่าที่ค้นพบได้ มี 425 ฉบับ เช่น ฉบับวิงวอนน้อย วิงวอนหลวง วิงวอนดอนกลาง
หิ่งแก้วมโนวอน ท่าแป้น ริมฅง สร้อยสังกร ล้านช้างเวียงจันทน์ พุกาม พระงาม แม่กุ
เมืองหาง พระสิงห์ โคมคำ เชียงของ น้ำดั้นท่อ ไผ่แจ้เรียวแดง พร้าวไกวใบ พร้าวหนุ่ม
อินทร์ลงเหลา
ป่าซาง สะเภาน้อย มหาเวสสันตระฉบับข้าว
49 ก้อน เวสสันตรฉบับนกเค้า มหาเวสสันตระฉบับโทน ฯลฯ และที่นิยมอย่างมากในปัจจุบันได้แก่ฉบับ สร้อยสังกร
แต่งโดยพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ฟู อตฺตสิโว) ได้รวมเอากัณฑ์ที่เด่นๆของฉบับต่างๆมารวมกัน
เป็นฉบับใหม่ เป็นต้น ส่วนฉบับที่เป็นภาษาบาลีล้วนเรียกว่า คาถาพัน และฉบับที่แปลคาถาพันเรียกว่า
จริยา
4.4 ลำดับพิธีการตั้งธัมม์หลวง
เกี่ยวกับลำดับพิธีการตั้งธัมม์หลวงนี้
มีลำดับพิธีดังนี้
วันแรก ในการเทศน์ นิยมเทศน์ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือนยี่เหนือ
เวลาประมาณ 15.00 น ศรัทธาชาวบ้านจะมาฟังเทศน์คาถาพัน คือเรื่องราวของเวสสันดรชาดกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เป็นภาษาบาลี
รวมทั้งหมดมี 1,000 พระคาถา และเทศน์คัมภีร์ต่อไปอีก คือ
คัมภีร์มาลัยต้น มาลัยปลายและอานิสงส์เวสสันตระ และธัมม์ไขวิบากเวสสันตระ
วันที่สอง เป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่เหนือ เวลาเช้าตรู่จะเริ่มฟังกัณฑ์ทศพรและกัณฑ์ต่อ
ๆ มาตามลำดับ มีเวลาพักตักบาตรตอนเช้าและพระสงฆ์ฉันเพล จากนั้นจะเทศน์ติดต่อกันจนจบ
การฟังเทศน์และเป็นเจ้าภาพกัณฑ์เทศน์ สามารถเป็นเจ้าภาพร่วมกันหรือฟังแบบสืบชาตาต่ออายุ
ตามปีเกิดของแต่ละคน เมื่อเทศน์กัณฑ์ใด ให้เจ้าภาพของกัณฑ์จุดธูปเทียน
เท่าจำนวนพระคาถา เพื่อบูชาคาถาของกัณฑ์นั้น จนครบคาถา ดังนี้
กัณฑ์ทศพร มี 13 คาถา ปีใจ้(ปีชวด), กัณฑ์หิมพานต์ มี 86 คาถา ปีเป้า(ฉลู),
ทานกัณฑ์ มี 143
คาถา ปียี(ปีขาล), กัณฑ์ประเวสน์ มี 57 คาถา ปีเหม้า(ปีเถาะ),
กัณฑ์ชูชก มี 78
คาถา ปีสี(ปีมะโรง)} กัณฑ์จุลพล มี 55 คาถา ปีใส้(ปีมะเส็ง), กัณฑ์มหาพน มี 133 คาถา ปีสะง้า(ปีมะเมีย), กัณฑ์กุมาร มี 121 คาถา ปีเม็ด(ปีมะแม),
กัณฑ์มัทรี มี 97 คาถา ปีสัน(ปีวอก), กัณฑ์สักกบรรพ มี 49 คาถา ปีเร้า(ปีระกา),
กัณฑ์มหาราช มี 77 คาถา ปีเส็ด(ปีจอ), กัณฑ์ฉกษัตริย์ มี 43
คาถา ปีใค้(ปีกุน), นครกัณฑ์ มี 46 คาถา ทุกปีเกิด
เป็นเจ้าภาพร่วมกัน
นี้นับได้ว่า
เวสสันตรชาดก มีสาระ คุณค่า และนัยสำคัญต่อวิถีวัฒนธรรมและอารยธรรมของชาวล้านนาอย่างแท้จริง
___________________
หนังสืออ้างอิง
เวสฺสนฺตรชาตกวณฺณนา,
ขุทฺทกนิกาเย ชาตกปาฬิยา สํวณฺณนาภูตา ชาตฏฺฐกถา ทสโม ภาโค มหานิปาตวณฺณนา ;
อรรถกถา
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, โครงการชำระ ตีพิมพ์อรรถกถาบาลี โดย พร รัตนสุวรรณ, กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2535.
------------
เวสสันตรจริยาที่ 9, พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 25,ขุททกนิกาย อปทาน ภาค 2, พุทธวังสะ-จริยาปิฎก : “เราสละพ่อชาลี แม่กัณหาชินาผู้ธิดา และพระนางมัทรีเทวีผู้มีจริยาวัตรอันงาม ไม่คิดถึงเลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง เราจะเกลียดบุตรทั้งสองหามิได้ จะเกลียดพระนางมัทรีก็หามิได้ แต่สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น เราให้บุตรและภรรยาผู้เป็นที่รัก”
เวสฺสนฺตรชาตกวณฺณนา, หน้า 386. : “ยทา หิ สตฺถา ปวตฺติตปวรธมฺมจกฺโก อนุกฺกเมน
ราชคหํ คนฺตฺวา ตตฺถ เหมนฺตํ วีตินาเมตฺวา อุทายิตฺเถเรนมคฺคุทฺเทสเกน
วีสติสหสฺสขีณาสวปริวุโต ปฐมคมเนน ยาวกปิลวตฺถุ อคมาสิ ฯ
ภนฺเต อนาคเต กาเล ตุมหาทิสสฺส พุทฺธสฺส มาตา ภเวยฺยนฺติ
ปตฺถนํ อกาสิ