แจ้งข่าวนักศึกษา012173

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2568

พุทธนวัตศิลป์ จิตรกรรมจากวรรณกรรม เวสสันตระชาดก ภาคที่ ๑ อารัมภกถา

 

ภาคที่ ๑

อารัมภกถา 

พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์

๑.๑ ความเป็นมา

มหาเวสสันตระชาดก หรือ เวสสันตระชาดก(เวสสันดรชาดก)  เป็นชาดกสำคัญเรื่องหนึ่งในบรรดาอดีตชาติ ๑๐ เรื่อง (ชาวไทยนิยมเรียกว่า พระเจ้า ๑๐ ชาติ) ได้แก่ เตมิยชาดก, มหาชนกชาดก, สุวรรณสามชาดก, มโหสถชาดก, ภูริทัตตชาดก, จันทกุมารชาดก, นารทกัสสปชาดก, วิธุรชาดก, และ เวสสันตระชาดก (ที่เรียกย่อ ๆ เพื่อให้จำได้ง่าย ๆ ว่า “เต, ชะ, สุ, เน, มะ, ภู, จะ, นา, วิ, เว”) ของพระสิทธัตถโคตมพุทธเจ้า เมื่อครั้งยังเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ หรือ บารมี ๑๐ ทัศ [1] ประกอบด้วย ทานบารมี, ศีลบารมี, เนกขัมมะบารมี, ปัญญาบารมี, วิริยะบารมี, ขันติบารมี, สัจจะบารมี, อธิษฐานะบารมี, เมตตาบารมี, และอุเบกขาบารมี  ให้บริบูรณ์ครบ ๓ ระดับ  หรือ ๓ ขั้น ได้แก่  ขั้นที่ ๑ ขั้นบารมี  เป็นระดับสามัญ เช่น ทานบารมี ได้แก่ ให้ทรัพย์สินเงินทอง สมบัตินอกกาย ขั้นที่ ๒ ขั้นอุปบารมี  เป็นระดับรอง หรือ จวนจะสูงสุด เช่น ทานอุปบารมี ได้แก่ การเสียสละอวัยวะเป็นทาน และขั้นที่  ๓ ขั้นปรมัตถบารมี เป็น ระดับสูงสุด เช่น ทานปรมัตถบารมี ได้แก่ การสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น การบำเพ็ญบารมี 10 ให้ครบทั้ง ๓ ขั้นนี้ เรียกว่า “สมตึสปารมี” หรือ             “สมดึงสบารมี” แปลว่า บารมี ๓๐ ถ้วน

ชาดกเรื่องมหาเวสสันตระ  ถือว่า เด่นในการบำเพ็ญ “ทานบารมี” ถึงขั้นอุปบารมี เข้าชุด “ปัญจมหาบริจาค” หรือ การบริจาคอันยิ่งใหญ่ ๕ ประการ ได้แก่

๑. ธนบริจาค การสละทรัพย์สมบัติเป็นทาน

๒. อังคบริจาค การสละอวัยวะ(มีดวงตาเป็นต้น)ให้เป็นทาน

๓. ชีวิตบริจาค การสละชีวิตให้เป็นทาน

๔. ปุตตบริจาค การสละลูกให้เป็นทาน

๕. ทารบริจาค(ภริยาบริจาค) การสละเมียให้เป็นทาน

พระเวสสันดร ได้สละทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของ เครื่องใช้มากมายให้เป็นทาน ทรงสละพระโอรสและพระธิดาให้เป็นทานแก่พราหมณ์ชูชก และสละพระนางมัทรี พระมเหสีให้เป็นทานแก่ท้าวสักกะ(พระอินทร์)ที่ปลอมเป็นพราหมณ์ชรามาขอ นับว่าเป็นการเสียสละให้ทาน(ทานบารมี)ที่คนปกติทั่วไปกระทำได้โดยยาก เพราะต้องการบรรลุพระโพธิญาณ เพื่อโปรดสัตว์โลก  น้ำพระทัยของพระเวสสันดรทรงยินดีในการให้ทานเสมอ ไม่มีผู้ใดที่มาขอแล้วจะพกความผิดหวังกลับไป คือขอแล้วต้องได้ทุกคน จนมีคำตลาดเปรียบเทียบคนที่ชอบสละสิ่งของให้เป็นทานโดยไม่รู้สึกเสียดายว่า “ใจกว้างเหมือนพระเวสสันดร”

  ชาวพุทธไทยตั้งแต่ได้นับถือพระพุทธศาสนามา ก็นิยมศึกษา อ่าน หรือ ฟังเทศน์มหาเวสสันตระชาดก ที่เรียกว่า “ฟังเทศน์มหาชาติ”  โดยถือคติตามเรื่องพระมาลัยเทวเถระ  ที่พระมาลัยสนทนากับเมตไตรยโพธิสัตว์ ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปว่า ผู้ใดตั้งจิตอุตสาหะสดับ(ฟัง)เทศน์มหาชาติ(มหาเวสสันตระชาดก)จนจบครบ ๑๓ กัณฑ์ ในวันเดียว ผู้นั้นจะได้ผลานิสงส์มหาศาล เมื่อสิ้นชีวิตลงย่อมไปบังเกิดในโลกสวรรค์ และเมื่อพระศรีอริยเมตไตรย มาตรัสรู้ประกาศพระศาสนา ผู้นั้นจะก็ได้มาบังเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ในยุคนั้น ทุกคนล้วนมีความสุขดุจอยู่แดนสวรรค์ สนุกสนาน เพลิดเพลินตลอดเวลา ไม่ต้องตรากตรำ ทำงานหนัก อยากได้สิ่งของอะไร ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือ เครื่องนุ่งห่ม ก็เพียงแต่ออกไปเอาไม้สอยของที่ห้อยอยู่ตามกิ่งของต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งเกิดตั้งอยู่ทั้ง  ๔ มุมเมือง ก็จะได้สิ่งของตามความประสงค์ทุกประการ  ของทุกสิ่งที่ห้อยอยู่ตามกิ่งต้นกัลปพฤกษ์นั้น ล้วนเป็นผลานิสงส์ของบุญใหญ่(มหากุศล)จากการตั้งใจฟังเทศน์ และการบูชามหาเวสสันตระชาดกเป็นสำคัญ

ตามความเชื่อและคตินิยมที่สืบทอดกันมานานเช่นนี้ จึงทำให้เกิดประเพณีการฟังเทศน์มหาชาติ มหาเวสสันตระชาดกกันทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย เนื้อเรื่องและสำนวนที่นำมาเทศน์อาจจะแตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียด เช่น “มหาชาติคำหลวง” แต่งในสมัยพระเจ้าบรมไตรโลกนาถ เมื่อ พ.ศ.๒๐๒๕ หรือ “กาพย์มหาชาติ” พระราชนิพนธ์โดย พระเจ้าทรงธรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๐ 

“เทศน์ผะเหวด” หรือ “พระเวส” ของชาวไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ “ตั้งธัมม์หลวง” ของชาวไทยล้านนาเป็นต้นก็ตาม แต่สาระโครงเรื่องส่วนใหญ่ ก็ไม่ทิ้งมหาเวสสันตระชาดก เพื่อรักษาประเพณีการฟังเทศมหาชาติ จำเป็นต้องจาร จารึก บันทึก คัดลอกสำนวนให้คงอยู่ สืบทอดต่อ ๆ กันมาจนถึงสมัยปัจจุบัน

๑.๒ ปฐมเหตุของการเล่าเรื่อง มหาเวสสันตระชาดก

การเล่าเรื่องมหาเวสสันตระชาดก เกิดขึ้นมา เนื่องในสมัยที่พระพุทธเจ้าเสด็จนิวัติไปโปรดพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดาและพระประยูรญาติ ที่นครกบิลพัสดุ์ หลังจากการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตามคำอาราธนาของพระเจ้าสุทโธทนะ ที่ส่งทูตไปอาราธนาถึง ๙ คณะ แต่ก็ไม่สำเร็จ จนถึงทูตคณะที่ ๑๐ ซึ่งนำโดยกาฬุทายีอำมาตย์(พระสหชาติ) จึงอาราธนาได้สำเร็จ

แต่เมื่อพระองค์เสด็จไปถึงนครกบิลพัสดุ์ พำนักที่นิโครธาราม พระประยูรญาติผู้ใหญ่ ต่างถือตัว มีทิฏฐิกล้า มานะแข็ง ไม่ยอมก้มพระเศียรถวายความเคารพ ด้วยถือตัวว่า ตนมีอายุมากกว่าพระพุทธเจ้า จึงปล่อยให้ราชกุมาร ราชกุมารีที่ทรงมีชันษาเยาว์ ให้ถวายความเคารพ พระพุทธเจ้าจึงปราบมานะทิฏฐิอันแรงกล้าของพระประยูรญาติให้หมดลง จนอ่อนน้อมยอมตนถวายความเคารพ ทันใดนั้น ได้บังเกิด ฝนโบกขรพัสส์(บางทีสะกดเป็นโบกขรพรรษ ได้แก่ น้ำฝนที่มีสีแดง บางทีก็เรียกว่า “ฝนแก้ว” ตกลงมา ใครที่ไม่ต้องการให้เปียก ก็ไม่เปียก เหมือนเม็ดฝนตกลงบนใบบัว ไม่เปียกและไม่ค้างอยู่ที่ใบบัว กลิ้งลงไป เป็นอัศจรรย์) ยังความชุ่มเย็นแก่ญาติสมาคม ทุกคนต่างมองเห็นว่าเป็นเรื่องอันน่าอัศจรรย์ยิ่ง

พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า การที่ฝนโบกขรพัสส์ตกลงมาในท่ามกลางสมาคมญาติเช่นนี้ มันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตเช่นกัน เมื่อพระภิกษุอาราธนาให้ทรงเล่าเรื่องฝนโบกขรพัสส์ที่เคยตกลงมานั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่า มหาเวสสันตระชาดก ชาติสุดท้ายที่เกิดเป็นมนุษย์มาบำเพ็ญบารมีของพระองค์  พระสังคีติกาจารย์รวบรวมเฉพาะแก่นของเรื่องเป็นคำร้อยกรองได้ ๑,๐๐๐ คาถา[2]  บรรจุไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘  หมวดพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก ชุดมหานิบาต เรื่องที่ ๑๐ [3]  เป็นคาถาล้วน(ปัชชพันธะ : คาถา หรือ คำร้อยกรอง) ไม่มีความเรียง(คัชชพันธะ : ความเรียง หรือ จุณณียบท)  หรือ การแต่งผสมระหว่างความเรียงกับคาถา (วิมิสสพันธะ : การแต่งเรื่องที่ใช้คาถาและความเรียงที่สองอย่างปะปนกัน)[4]

ต่อมา พระอรรถกถาจารย์ได้แต่งอรรถกถาชาดก มหานิปาตวรรณนา ภาคที่ ๒ ในตอนที่ว่า “เวสฺสนฺตรชาตกวณฺณนา”[5] โดยการแต่งความเรียงบอกเล่าลำดับเหตุการณ์ของเรื่อง อิงอาศัยคาถาในพระไตรปิฎกที่สรุปเฉพาะพลความ  โยงเรื่องให้เห็นว่า ก่อนจะได้กล่าวคาถานี้ ท้องนิทานของเรื่องดำเนินมาอย่างไร จึงเติมเต็มให้ได้ความสมบูรณ์ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร  มีผลอะไรเกิดขึ้น ทั้งได้แทรกอธิบาย คำ ความ และธรรมะ เรียงตามลำดับคาถา ให้ผู้อ่านได้เข้าใจเนื้อเรื่องพระมหาเวสสันตระชาดก สามารถปะติดปะต่อได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อเจริญศรัทธาปสาทะของพุทธศาสนิกชนในการบำเพ็ญทานบารมีตามอย่างพระเวสสันดร

อนึ่ง คำในพระบาลีและคำของพระอรรถกถาจารย์ ที่ใช้สื่อสารกันในยุคโน้น อาจจะเป็นที่เข้าใจยากของอนุชนผู้เกิดภายหลัง พระฎีกาจารย์ ก็ได้แต่งฎีกา อธิบายขยายความของคำ เพิ่มตัวอย่าง วิเคราะห์ศัพท์ ให้เป็นที่เข้าใจง่าย ไม่ผิดไปจากความมุ่งหมายของผู้แต่งเรื่องเดิม ตรงตามข้อเท็จจริง สอดคล้องตามแก่นของเรื่อง และ มหาเวสสันตรทีปนี ก็เกิดขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์หลักคล้ายกันนี้

 

 

 



                    [1]  สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต),  พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ข้อ  ๓๒๕ กล่าวว่า “ทศบารมี (ปฏิปทาอันยวดยิ่ง, คุณธรรมที่ประพฤติปฏิบัติอย่างยิ่งยวด คือ ความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุซึ่งจุดหมายอันสูง เช่น ความเป็นพระพุทธเจ้า และ ความเป็นมหาสาวก”

               [2] คาถา เป็นคำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง ตามแบบฉันทลักษณ์ ในภาบาลี  คาถาโดยทั่วไปจะประกอบไปด้วย ๔ บาท  อัตราของฉันท์ คือ ๔ บาท เป็น ๑ คาถา(แต่ก็มีการประพันธ์ฉันท์ในรูปแบบอื่นๆ ประกอบไปด้วย ๒ บาท คาถาบ้าง, ๕ บาท คาถาบ้าง, ๖ บาท คาถาบ้างดังคาถาที่ปรากฏใน มหาเวสสันตรชาดก) ตัวอย่าง ๑ คาถา ที่ท่านประพันธ์แบบปัฐยาวัตรฉันท์ เรียงคำ บาทละ ๘ คำ มีทั้งหมด ๒ แถว  ในแถวที่ ๑ มี ๒ บาท คือ บาทที่ ๑ และ บาทที่ ๒  และแถวที่ ๒ ก็มีอีก ๒  บาท คือ บาทที่ ๓ และบาทที่ ๔ รวมทั้งคาถาจึงเป็น ๔ บาท นับจำนวนคำประพันธ์ได้ ๓๒ คำ ปัฏฐยาวัตรฉันท์ เป็นที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะสำเนียงที่ไพเราะ เนื่องจากมีสำเนียงครุ(เสียงหนัก) และลหุ(เสียงเบา)อย่างละ  ๖ คำ จึงไพเราะงดงามประดุจนางหงส์ร้อง และนางนกยูงลำแพน ตัวอย่างคาถาที่ท่านประพันธ์ แบบปัฏฐยาวัตร ในชินาลังการ คาถาที่ ๑๒๓ เห็นว่าเล่นคำได้งดงาม ดังนี้

               โนนานิโน นนูนานิ                    นาเนนานิ นนานิโน

               นูเนนานิ นูนํ น                         นานนนฺนานเนน โน ฯ

               [3] มหาเวสฺสนฺตรชาตกํ, ขุทฺทกนิกายสฺส ชาตกํ ปญฺญาส-มหานิปาตชาตกํ, สฺยามรฏฺฐสฺส เตปิฏกํ, (กรุงเทพฯ : มหา มกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๓). เล่ม ๒๘ ข้อ ๑๐๔๕ -๑๒๖๙ หน้า ๓๖๕-๔๕๓.

               [4] พระสังฆรักขิตมหาสามี, คัมภีร์สุโพธาลังการ, แปลโดย แย้ม ประพัฒน์ทอง, (ธนบุรี : วัดภคินีนาถ, ๒๕๑๒), หน้า ๑๐.

               [5] เวสฺสนฺตรชาตกวณฺณนา, ขุทฺทกนิกาเย ชาตกปาฬิยา สํวณฺณนาภูตา ชาตฏฺฐกถา ทสโม ภาโค มหานิปาตวณฺณนา;  อรรถกถา ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, โครงการชำระ ตีพิมพ์อรรถกถาบาลี โดย พร รัตนสุวรรณ, (กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕), ชาดกเรื่องที่ ๕๔๗  หน้า ๒๘๗-๔๖๐.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น